เมื่อเวลา 10.15 น. ที่ผ่านมา ศาลฏีกา มีมติรับคำร้องในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) ยื่นคำร้องขอให้ศาลวินิจฉัยการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้องแรง นางสาว ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส. จังหวัดราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. เนื่องจากกรณีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนในจังหวัด อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและรวมไปถึงประโยชน์ส่วนรวม
โดยในคดีดังกล่าว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลฏีกามีคำพิพากษาหรือคนสั่งว่า ผู้คัดค้านฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ให้ผู้คัดค้าน หยุดปฏิบัติหน้าที่ เอาไว้ก่อนนับตั้งแต่วันที่ศาลฏีการับคำร้องจนกว่าจะมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าว เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้คัดค้าน และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งมีกำหนดไม่เกิน 10 ปี ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช พ.ศ. 2561 มาตรา 87 และมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ข้อ 3 , 11 , 17 , 27 วรรคสอง
ศาลฏีกาพิจารณาเรียบร้อยแล้ว ลงความเห็นว่า คำร้องของผู้ร้องบรรยายพฤติการณ์ที่กล่าวหาพร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานชัดเจนเพียงพอต่อคดีแล้ว และผู้ร้องดำเนินการครบถ้วนตามข้อ 11 ของระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกาว่าด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานของจริยธรรมอย่างร้อยแรง พ.ศ. 2561 แล้ว ที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องต่อศาลฏีกาคัดค้านขอให้ไม่รับคำร้องของผู้ร้องไว้วินิจฉัย
เห็นได้ว่า ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ไม่ตัดอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 235 วรรคหนึ่ง
(1) ถ้าเป็นกรณีฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย ทั้งนี้ ให้นําความในมาตรา 226 วรรคเจ็ด มาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกาโดยอนุโลม
http://wiki.ocsc.go.th/
ที่จะไต่สวนข้อเท็จจริงและเสนอเรื่องต่อศาลฏีกาเพื่อวินิจฉัย ผู้ร้องจึงมีอำนาจไต่สวนและมีอำนาจยื่นคำร้องในคดีนี้ โดยนัดพิจารณาครั้งแรกหรือไต่สวนพยานผูร้อง ในวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564 เวลา 09.30 น. ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ นางสาว ปารีณา ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร จนกว่าจะมีคำพิพากษา เว้นแต่ศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
และในมิติของการตอบโต้หรือปั่นป่วนฝ่ายตรงจ้ามอาจจะจางหายเงียบเหงาไปบ้าง เพราะที่ผ่านมา “ เอ๋ ปารีณา ” กับนาย สิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ คือคู่หูที่ทำหน้าที่ดั่งกล่าวอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ดังนั้นจะคงเหลือแต่เพียงนายสิระคนเดียวเท่านั้นที่ยังยืนหยัดทำหน้าที่ดั่งกล่าวเพียงผู้เดียว
สำหรับคดีของ “ เอ๋ ปารีณา ” ถือเป็นคดีที่ค่อนข้างใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคนี้ เพราะถ้าได้ว่าเป็นคนแรกที่ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดฐานฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน
กรณีของคดีดังกล่าวนี้ลุกคืบไปอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นเรื่องการกระทำผิดมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง ซึ่งในรัฐธรรมนูญกำหนดให้สามารถส่งศาลฏีกาได้เลยโดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนของอัยการสูงสุด และหากภายในวันที่ 25 มี.ค. นี้ “ เอ๋ ปารีณา ” ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ย่อมสะเทือนต่อผู้ที่กระทำผิดของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ยังไม่ถูกเปิดเผยความจริงต่อสังคมแน่นอน มันจะเป็นบรรทัดฐานที่น่ากลัวในอนาคตเลยก็ว่าได้ครับ
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending