ภัตตาคารลอยทะเลบาราติเอ (Baratie Floating Restaurant) 1.1
ภัตตาคารลอยทะเลบาราติเอ เป็นภัตตาคารแห่งแรกของทะเลอีสบลู ที่ให้บริการมาอย่างยาวนาน บริหารจัดการโดย ออเนอร์เซฟ ที่เป็นสุดยอดเชฟที่มีฝีมือการทำอาหารระดับเทพ มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากที่ทุกๆคนทั่วทั้งทะเลอีสบลูต่างให้การยอมรับ เอกลักษณ์ของภัตราคารเห็นจะเป็นรูปร่างที่ไม่เหมือนใครที่ไหนโดยรูปร่างของเรือจะเหมือนกับปลาตัวใหญ่ ถูกออกแบบและสร้างโดยนักต่อเรือที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในทะเลอีสบลู เป็นเรือชั้นขนาดกลางค่อนไปทางใหญ่ แต่ไม่เท่าชั้นกาเลออน ขับเคลื่อนด้วยใบเรือ3ใบ มีหางเสือเรืออยู่ตรงกลางและเน้นเรื่องพื้นที่ใช้สอยข้างในเป็นซะส่วนใหญ่เพื่อไว้ใช้ในการต้อนรับลูกค้าที่มาใช้บริการ
ส่วนพื้นที่โซนข้างหลังนั้น จะถูกออกแบบมาให้เอื้อต่อการทำอาหารเป็นหลักเพื่อความสะดวกในการทำงานของเชฟ ด้านบนจะถูกแยกเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งจะถูกใช้ไว้เป็นที่พักของเชฟที่อยู่บนเรือ ส่วนที่สองจะใช้สำหรับต้อนรับลูกค้าที่จะขึ้นมารับประทานอาหารข้างบนและพร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศพระอาทิตย์ตกดินกลางทะเล บาราติเอจะให้บริการแก่ลูกค้าทุกท่านที่แวะมาผ่านเส้นทางเดินเรือหลักที่ทะเลอีสบลู ในตัวร้านสามารถที่จะต้อนรับแขกพร้อมๆกันได้สูงถึง100คน จึงไม่แปลกที่ใครต่อใคร ถ้าได้ผ่านมาเส้นทางนี้ จะต้องลองแวะมาใช้บริการเสมอ จุดเด่นของทางร้านไม่ใช่แค่รสชาติอาหารที่อร่อยเท่านั้น แต่ในบางครั้งลูกค้าก็อาจได้รับชมโชพิเศษจากทางร้านได้ ซึ่งโชนั้นก็คือการต่อสู้กันระหว่างเชฟและโจรสลัด ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นของร้านไปในตัว
ภายในเรือ จะประกอบ ด้วยโต๊ะรับประทานอาหารที่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา รองรับได้สูงถึง100คน และถ้ามากันเป็นหมู่คณะและต้องการความสงบ ภายในภัตตาคารก็ยังมีห้องพิเศษที่จัดเอาไว้ให้ลูกค้า เป็นโซนชั้นสองที่ลูกค้าสามารถที่จะกินอาหารไป ชมวิวทะเลรอบๆที่สวยงามได้อีกด้วย
องค์ประกอบของ บาราติเอ ยังมีอีกหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ว่าจะเป็นกราบเรือ ที่ยื่นออกมาจากตัวร้าน เพื่อใช้สำหรับจัดกิจกรรมต่างๆกลางแจ้ง ไม่ว่าจะเป็นดินเนอร์ใต้แสงจันทร์ หรือจัดงานเลี้ยง ไปจนถึงใช้เป็นสถานที่รับมือกับพวกโจรสลัดที่จะเข้ามาเพื่อทำร้ายต่อตัวร้าน ไว้ใช้เป็นสถานที่ต่อสู้เพื่อไม่ให้ความเสียหายต่างๆเข้ามาภายในร้าน ในส่วนหัวเรือที่เป็นหัวปลานั่น เมื่อเกิดสถานหารณ์ฉุกเฉินก็สามารถที่จะถอดหัวออกมาและกลายเป็นเสมือนเรือรบขนาดเล็กที่ติดตั้งด้วยปืนใหญ่2กระบอก เอาไว้รับมือเรือโจรสลัดได้เป็นอย่างดีหรือจะใช้เพื่อข่มขู่ก็ได้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่า บาราติเอ จะประกอบด้วยอะไรหลายๆอย่างที่ดีและเป็นประโยชน์อย่างมาก แต่สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ บาราติเอ นั่นสมบูรณ์แบบได้ ก็เห็นจะเป็นพวกเชฟต่างๆที่ทำงานและทำให้บาราติเอมีอย่างทุกวันนี้ ซึ่งในบาราติเอประกอบด้วยเชฟที่ฝีมือหลายๆคน ดังนี้
กัปตันกลุ่มโจรสลัดกุ๊กแห่งท้องทะเลเซฟขาแดง หรือ ออเนอร์เซฟ
-ค่าหัว15,900,000
-อายุ59(ไทม์ไลน์ปัจจุบัน61)
-เกิด2เมษายน/สูง187ซม.
-จากทะเล “อีสบลู”
ออเนอร์เซฟหรือเซฟขาแดง เป็นเจ้าของและคนที่สร้างบาราติเอนี้ขึ้นมา เขาเป็นเชฟที่ถูกกล่าวขานทั่วทั้งอีสบลูว่า เป็นเชฟที่ทำอาหารอร่อยที่สุดในทะเลแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นอาหารอะไร ออเนอร์เซฟก็สามารถที่จะรังสรรค์ออกมาได้อย่างสวยงามและอร่อยเป็นอย่างที่สุด ไม่ใช่แค่ฝีมือการทำอาหารที่เป็นเลิศอย่างเดียวของเขาแล้ว ฝีมือทางด้านการต่อสู้หรือศิลปะการต่อสู้ของออเนอร์เซฟนั่น ก็จัดว่าไม่เป็นสองรองใครในทะเลอีสบลู ด้วยการต่อสู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาที่ไม่เคยใช้มือแต่ครั้งเดียวจะใช้เพียงขาเท่านั้น ที่ได้รับการคิดค้นโดยตัวของเขาเอง จัดเป็นเพลงเตะที่น่ากลัว พลังเตะของเขารุนแรงมากจนถึงขนาดที่สามารถป่นหินก้อนใหญ่ให้เป็นผงได้ในการเตะเพียงครั้งเดียว
โดยในอดีต ออเนอร์เซฟนั่นเป็นโจรสลัดที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในทะเลอีสบลู กลุ่มโจรสลัดของเขาจึงได้รับอิทธิพลจากตัวเซฟ จนใครหลายคนต่างตั้งฉายาให้พวกเขาว่ากลุ่มโจรสลัดกุ๊กของเซฟขาแดง ฉายาขาแดงที่เขาได้รับมานั้น ได้มาจากการที่เขาใช้ขาในการต่อสู้เสมอ จนเลือดของศัตรูที่เขาต่อสู้นั่นย้อมขาจนเป็นสีแดง ในเวลานั้นไม่มีใครในทะลอีสบลูที่ไม่รู้จักกลุ่มโจรสลัดของพวกเขา
จนในวันหนึ่งเซฟได้ตัดสินใจที่จะเข้าไปในแกรนไลน์ เพราะเขามีความฝันที่จะต้องตามหาทะเลในตำนานที่มีชื่อว่า “ออลบลู” ที่ทะเลนี้จะพิเศษกว่าทะเลอื่นๆตรงที่ ทะเลนี้นั่นจะอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมาก ประกอบไปด้วยปลาชนิดต่างๆจากทั่วโลกมาอยู่ร่วมกันที่ะเลแห่งนี้ พ่อครัวแทบจะทุกคนมักฝันที่จะไปออลบลูกันทั้งนั้น เพราะวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งหมดต่างรวมกันอยู่ที่นั่นพร้อมให้พวกเขาต่างแสดงฝีมือการทำอาหารกันได้อย่างเต็มที่และถ้าพ่อครัวคนไหนคนพบออลบลูแล้ว เขาก็อาจจะได้รับการยอมรับ ยกย่องให้เป็นพ่อครัวอันดับ1เลยก็ได้ นับเป็นความฝันอันสูงที่สุดของพ่อครัวทุกคน เซฟเองก็มีความฝันนี้เหมือนกัน เขาจึงดั้นด้นออกผจญภัยไปทั่วแกรนไลน์เพื่อตามหามัน ถึงแม้ว่าบางครั้งลูกเรือของเขามักจะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับความคิดนี้ของกัปตันพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังศรัทธาในตัวเซฟอยู่จึงไม่มีใครพูดอะไรออกไป
จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปี การเดินทางของเซฟก็ยังดำเนินต่อไป เขาได้ผ่านและพบเจอเหตุการณ์ต่างๆมามากมาย จนเขาจดบันทึกการเดินทางทั้งหมดของเขาลงในหนังสือจนใกล้จะเต็มหมดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ค้นพบออลบลูเสียที จนในที่สุดการเดินทางของเขาก็มาถึงจุดสิ้นสุด หลังจากการหารือกันในกลุ่มโจรสลัด จนได้ข้อสรุปว่า พวกเขา จะออกจากแกรนไลน์เพื่อกลับไปยังบ้านเกิดของพวกเขาที่ทะเลอีสบลู ซึ่งการตัดสินใจของทุกคนในกลุ่มนั้น ก็ทำให้เซฟเข้าใจและยอมรับในการตัดสินใจ เพราะเขารู้ว่าทุกคนนั้นเหนื่อยเต็มที่แล้ว ที่ต้องเสี่ยงชีวิตอยู่ในทะเลนี้แห่งนี้ เพื่อไล่ตามความฝันลมๆแล้งๆของเขา แต่เซฟก็ไม่เคยนึกโกรธคนในกลุ่มเลย กลับกันเขายังนึกขอบคุณที่ทุกๆคนยอมที่จะตามไปเพื่อทำตามฝันของเขาเสียอีก
หลังจากที่พวกเขาออกจากแกรนไลน์เพื่อกลับบ้านแล้ว ในระหว่างการเดินทาง พวกเขาได้บังเอิญเจอเรือสำราญลำหนึ่งแล่นผ่านทางมาพอดี ด้วยความที่ในตอนนี้สมบัติทั้งหมดที่พวกเขามี ต่างถูกใช้ไปจนหมดในการเดินทางกลับจากแกรนไลน์ จึงทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเข้าปล้นเรือสำราญ ซึ่งการปล้นเรือสำราญในครั้งนี้ พวกเขาจะต้องแข่งกับเวลาเป็นอย่างมากเพราะพายุลูกใหญ่กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆแล้ว
เมื่อพวกเขานำเรือเข้าทำการโจมตีจนสามารถยึดเรือได้แล้ว พวกเขาจึงได้ทำการไล่ต้อนผู้คนออกมาบนดาดฟ้าเรือเพื่อทำการปล้น ทันใดนั้นเองเด็กฝึกหัดพ่อครัวคนหนึ่งเกิดคลุ้มคลั่ง อาละวาดขึ้นมา เพราะเข้าใจว่าตัวเองกำลังถูกฆ่า จึงเป็นเหตุให้เซฟต้องเข้าไปทำการสั่งสอนเพื่อให้เด็กคนนี้สงบลง ในขณะที่กำลังสั่งสอนอยู่นั่น ไม่ว่าจะเตะไปเท่าไหร่เด็กคนนี้กับไม่ยอมแพ้ กับลุกขึ้นมาแล้วพูดถึงความฝันของตัวเอง ว่าเขานั้นจะไม่ยอมตาย จนกว่าจะได้เจอออลบลู หลังจากคำพูดนี้จบ ทุกๆคนในกลุ่มของเซฟต่างหัวเราะใส่กับคำพูดนั้น ยกเว้นตัวเซฟที่ในตอนนั้นเขากับมีความคิดเข้ามาว่าเด็กน้อยคนนี้ ช่างเหมือนกับเขาในวัยเด็กที่จะไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ถ้าเพื่อความฝัน และฝันของเด็กยังเหมือนกับเขาอีกด้วย
ในขณะที่เซฟกำลังคิดเรื่องเด็กคนนี้อยู่ ได้มีคลื่นขนาดใหญ่ซัดเข้ามาส่งผลให้เด็กคนนั้นได้ถูกคลื่นซัดจนตกเรือไป ซึ่งเซฟที่เห็นเหตุการณ์เขาได้ตัดสินใจกระโดดลงไปช่วยเหลือเด็กคนนั้นในทันที ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับลูกน้องเป็นอย่างมาก ที่กัปตันของพวกเขาเอาชีวิตไปเสี่ยงเพื่อเด็กที่ไม่รู้จักคนหนึ่ง
หลังจากที่เซฟได้ช่วยเด็กคนนั้นขึ้นมาจากน้ำแล้ว เขาได้ถูกคลื่นซัดไปออกไปไกลจากเรือของเขามากขึ้นทุกที ในขณะที่เขาพยายามใช้แรงทั้งหมดที่ตัวเขามีเพื่อสู้กับคลื่นที่โถมมาอย่างหนัก เขาก็ได้เห็นว่าเรือของเขาเองได้ถูกคลื่นที่สูงซัดจนเรือค่อยๆจมลงไปในทะเล ภาพนั้นเองได้ทำให้เซฟรู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมาก แต่ถึงจะสิ้นหวังอย่างไรแต่เขาจะไม่ยอมแพ้ จะไม่ยอมตายอยู่อย่างแบบนี้เป็นอันขาด เขาจึงรวบรวมแรงอีกครั้งหนึ่ง เพื่อพาตัวของเขาและเด็กคนนี้ออกจากทะเลที่บ้าคลั่งแห่งนี้ให้ได้
หลังจากที่ลอยคอและสู้กับคลื่นทะเลอยู่หลายชั่วโมง ในที่สุดเซฟก็สามารถพาตัวเองและเด็กคนนี้ขึ้นมาบนฝังได้สำเร็จ แต่ถึงจะเรียกว่าฝั่งแต่มันก็เหมือนกับชะง่อนหินที่ถูกน้ำทะเลกัดเซาะจนเหมือนกับเกาะเล็กๆมากกว่า ซึ่งบนเกาะเล็กๆแห่งนี้ไม่มีอะไรเลย มีเพียงแค่น้ำฝนที่ขังอยู่ พอมองไปจากจุดหนึ่งก็สามารถที่จะเห็นอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย แต่โชคยังดีที่มีของจากเรือที่จมถูกซัดมาอยู่ที่นี่มั่งแล้ว เขาได้เดินไปตรวจสอบและพบว่าสิ่งของที่เขาเจอมีอาหารอยู่จำนวนหนึ่ง ตรวจสอบดูแล้วอาหารที่มีสามารถที่จะกินได้เพียง5วันเท่านั้น ซึ่งไม่พอต่อพวกเขาทั้ง2คนอย่างแน่นอน ส่วนอีกห่อที่ติดมาด้วยกันเป็นห่อใหญ่ที่ข้างในมีแต่สมบัติที่ปล้นมาได้อยู่ในนั้น เมื่อเห็นเช่นนั้น เซฟได้นึกหัวเราะตัวเองอยู่ในใจ ว่าตลกร้ายจริงๆที่มีสมบัติมากมายแต่ไม่สามารถจะเอาไปใช้ซื้อของกินได้เลย
ในขณะที่กำลังคิดไรอยู่นั่น เด็กที่เขาช่วยไว้ก็เริ่มฟื้นขึ้นมา เมื่อเซฟมองที่เด็กคนนั้นเขากับรู้สึกสงสารที่เด็กคนนี้ อายุไม่เท่าไหร่จะต้องมาตายในที่แบบนี้ซะแล้ว ซึ่งต่างจากเขาที่ผ่านอะไรมาอย่างมากมาย ถ้าจะตายวันนี้ก็ไม่เสียดายเขาก็ถือว่าใช้ชีวิตมาคุ้มแล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้น เซฟก็ตัดสินใจแล้วที่จะทำบางอย่าง เขาได้อธิายถึงเรื่องต่างๆให้กับเด็กคนนั้นฟัง และได้มอบอาหารที่เขามีแก่เด็กคนนั้นทั้งหมด เพื่อหวังว่าจะช่วยให้เด็กคนนี้มีชีวิตรอดให้ต่อไปให้นานที่สุด
หลังจากที่แบ่งอาหารกันเสร็จเซฟได้แยกตัวมาอีกฝั่ง เพื่อที่เขาจะได้ดูว่ามีเรือแล่นผ่านมาเขาจะได้เรียกขอความช่วยเหลือ ขณะที่มองท้องทะเลอันกว้างใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เซฟที่ผ่านอะไรต่อมิอะไรมาอย่างมากมายก็ได้ถึงวันที่เขาต้องตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิต ฉายาเซฟขาแดงของเขาจะต้องมาถึงวันสิ้นสุดวันนี้ เขาได้ใช้หินที่แหลมคมอันหนึ่งเฉือนเข้าขาของตัวเอง การตัดขาของตัวเองนั้นต้องใช้แรงเป็นอย่างมาก ทั้งเจ็บปวดและเสียเลือด แต่เขาก็ได้ตัดสินใจแล้วเพื่อที่จะรักษาชีวิตของตัวเองไว้ จนในที่สุดเขาก็สามารถตัดขาตัวเองจนออกมาได้ และเขาก็ใช้ขาตัวเองนี่แหละในการทำอาหารกินเพื่อประทังชีวิตแก่เขา
จนเวลาได้ผ่านเลยไปเข้ามาวันที่70 เขาได้รู้สึกอ่อนแรง ร่างกายของเขาในตอนนี้เริ่มซูบผอมเป็นอย่างมาก การช่วยเหลือก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะมีใครมาช่วยเลย ในขณะนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงของเด็กที่เขาช่วย กำลังเอามีดกรีดห่อที่เขามีอยู่เพราะเข้าใจว่าเป็นอาหาร แต่เมื่อเด็กคนนั้นได้เห็นล้วว่าห่อนั่นไม่มีอาหาร ภายในมีเพียงสมบัติเท่านั้น จึงทำให้เด็กคนนั้นงงมากว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาเซฟรอดมาได้ไง เขาจึงได้เข้ามาใกล้จนพบกับความจริงที่ว่าเซฟกินขาตัวเองและได้ร้องตะโกนโวยวายใหญ่ว่าทำแบบนี้ทำไม ทำไมเอาอาหารทั้งหมดให้เขาหล่ะ
เซฟเมื่อได้ฟังเช่นนั้นก็เล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ของตัวเขาเองและบอกอีกว่าความฝันของเขาก็เหมือนกับเด็กคนนี้ ความฝันที่จะค้นหาออลบลูให้เจอ แต่ในตอนนี้คงจะทำตามฝันไม่ได้แล้ว คงจะเหลืออีกแค่ฝันหนึ่ง ซึ่งเป็นฝันที่ทุกคนในกลุ่มต่างอยากจะทำให้ได้ นั่นคือ การเปิดร้านอาหารลอยทะเล หลังจากพูดจบ เด็กคนนั้นก็ได้พูดออกมาทั้งน้ำตาว่า เขาจะช่วยทำฝันที่จะเปิดร้านทำอาหารของเซฟเอง หลังจากฟังที่เด็กคนนี้พูดจบ เซฟได้ยิ้มและตัวเขาก็สลบไป
หลังจากที่ตัวเขาสลบไป เวลาก็ผ่านไปอีกหลายวัน จนนี่สุดเซฟได้รู้สึกตัวในตอนที่เขาถูกช่วยเหลือขึ้นมาบนเรือสินค้าแห่งหนึ่ง ที่บังเอิญผ่านมาเจอพวกเขาเข้า พวกนั้นได้พาเขาขึ้นฝั่งและพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลบนเกาะแห่งหนึ่ง หลังจากที่พักฟื้นตัวจนหายดีแล้ว เซฟก็ได้มีเวลาพูดคุยกับเด็กน้อยคนนั้นและถามถึงชื่อของเขา จนเขาได้รู้ว่าเด็กคนนี้มีชื่อว่า ซันจิ เมื่อได้รู้ชื่อแล้ว เซฟได้ถามอีกว่าซันจิคิดดีแล้วหรือที่จะมาช่วยเขาทำร้านอาหาร มันไม่ง่ายเลยนะ เขาเองก็ยินดีที่จะแบ่งสมบัติให้ซันจิส่วนหนึ่งเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ซันจิเองก็ได้ปฎิเสธเพราะเขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่เพื่อทำตามความฝันหรือก็คือการตอบแทนบุญคุณของเซฟ เมื่อเห็นความแน่วแน่ของซันจิเขาก็เลยตกลกที่จะให้ซันจิช่วย
พวกเขานอนรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลกันอีกหลายวัน จนในที่สุดพวกเขาก็แข็งแรงสมบูรณ์จนออกจากโรงพยาบาลได้ ตอนช่วงที่อยู่ในโรงพยาบาลเซฟได้ถามจากผู้ป่วยอีกคนจนได้รู้ว่าที่เมืองแห่งนี้มีนักต่อเรือที่มีฝีมืออยู่คนหนึ่ง เมื่อทราบข่าวนี้แล้วเซฟจึงได้ไปพบและขอให้เขาสร้างเรือตามแบบที่เซฟบอก เมื่อปรึกษาและช่วยกันออกแบบจนได้เรือที่เซฟต้องการแล้ว เขาก็ได้อยู่ที่เมืองนี้ต่ออีกซักพักจนกว่าเรือจะเสร็จ ในเวลานี้เซฟได้สอนวิธีการทำอาหารต่างๆให้แก่ซันจิ รวมถึงเทคนิคการต่อสู้เฉพาะตัวของเขาเช่นกัน จนกระทั่งในที่สุดเรือที่เขาสั่งให้สร้างก็เสร็จ เป็นเรือขนาดกลางที่มีใบเรือ3ลำและภายในเหมาะแก่การทำอาหารเป็นอย่างมาก เป็นเรือที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเชฟเลยจริงๆ และเขาก็ได้ตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า “บาราติเอ” ภัตตาคารที่พร้อมให้บริการคนทุกคนที่อยู่กลางทะเล ที่พวกเขาจะไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะหิวอีกต่อไป การเดินทางของภัตตาคารลอยน้ำบาราติเอ ที่นำโดยออเนอร์เซฟ จึงได้เริ่มต้นขึ้น……
(นี่แหละคือประวัติความเป็นมาของภัตตาคารลอยทะเล บาริเอและตัวของออเนอร์เซฟเอง ที่ประวัติและการใช้ชีวิตของเขาจะต้องเจอและผ่านอะไรต่อมิอะไรมาอย่างมากมายจนมีอย่างทุกวันนี้ และสมาชิกของภัตตาคารนี้ยังไม่หมดแค่นี้ เพื่อนๆสามารถอ่านต่อได้ที่ลิ้งข้างล่างนี้เลย)
ภัตตาคารลอยทะเลบาราติเอ (Baratie Floating Restaurant) 1.2