คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่ 79
บทที่ 79 ทำบุญตักบาตรอาหารแห้ง
” อย่าพยายามทำอะไร ที่มันเกินความสามารถของเราเอง เพราะไม่เช่นนั้น ทุกสิ่งที่เราทำ มันจะไม่สามารถทำอะไรได้เลย จงทำแต่พอดีและชีวีจะมีสุข “
**สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน พบกันอีกแล้วนะครับ ในช่วงนี้อาทิตย์สุดท้ายของเดือนมกราคม นับตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมมา ไม่มีอากาศหนาวให้ได้รู้สึกเลย ต่างกับช่วงนี้ที่ฝนก็ดันกลับตกลงมาอีก จนไม่รู้แล้วว่าฤดูนี้ฤดูอะไรมันปนเปกันไปหมด เหตุการณ์แบบนี้ มันไม่ใช่แค่ประเทศเรา ประเทศเดียว
เหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นทั่วโลก สภาวะโลกร้อนผิดปกติ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากน้ำมือมนุษย์ เป็นผลมาจากมนุษย์สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกโดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติและได้ทดแทน การผลิตกระแสไฟฟ้ามากเกินไป ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่นำมาใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว
จนกลายเป็นมลภาวะ เมื่อมากเข้านานวันเข้าก็กลายเป็นหายนะบังเกิดเกิดขึ้นกับมนุษย์เรานั่นเอง ทั้งสึนามิ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดจากการเปลี่ยนแปลง ของธรรมชาติที่มาจากน้ำมือมนุษย์ทั้งสิ้น และนับวันก็จะทวีความรุนแรงขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว เราควรช่วยกันคนละไม้คนละมืออนุรักษ์ดูแลธรรมชาติเพื่อโลกของเรากัน เพื่อที่อนาคตเด็กรุ่นหลังจะได้มีชีวิตที่ดีต่อไป **
เที่ยงคืนสิบห้านาทีพอประมาณ บรรยากาศบนเรือนนอน เริ่มกลับสู่ภาวะปรกติเหมือนเดิม อย่างที่เคยเป็นมาอีกครั้ง ความสุขมักจะอยู่กับเราแค่เพียงชั่วคราว แต่มันจะอยู่ในความทรงจำตราบนานเท่านาน เพียงเท่านี้ก็สุขใจกันแล้วครับ
โยธาห้อง 2/5 เก็บกวาดจานชามเอาไว้ในบล็อกเป็นที่เรียบร้อย จัดการถูพื้นใหม่เพื่อที่จะปูที่นอนนอนกัน แล้วก็เป็นไปอย่างที่ผมคาดการณ์เอาไว้ ว่ากับข้าวและขนมที่เบิกเอาขึ้นมากินกันมันต้องเหลืออย่างแน่นอน แล้วมันก็เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ แบบนี้คงจะเสร็จพวกยามคืนนี้เป็นแน่ แต่ก็ไม่มีใครหวงหรอกครับ ใครอยากกินก็กินเพราะว่ากินหมดดีกว่าเหลือทิ้งไปเปล่า ๆ แล้วก็ไม่ถึง 10 นาที ที่หัวผมถึงหมอนผมกับไอ้แว่นก็ได้นิทราหลับลง พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันใหม่ของปีใหม่ ณ.ที่แห่งนี้ก็ได้มีกิจกรรมทำบุญตักบาตรอาหารแห้ง ให้กับพระสงฆ์ที่เข้ามาบิณฑบาตรภายในเรือนจำ ซึ่งผมไม่พลาดอย่างแน่นอน
งานนี้มันก็คล้าย ๆ กับงานได้พบปะเพื่อนฝูงต่างแดนกัน เพราะว่าทุกแดนอื่นจะมารวมตัวกันที่สนามกลาง รวมถึงบรรดาขังหญิงด้วยนะครับ แต่อยู่กันคนละฝั่งสนาม และใครที่มีคู่อยู่ขังหญิงหรือมีเมียที่โดนจับมาด้วยกัน ก็จะใช้วันนี้ล่ะครับ เพื่อที่จะมานัดเจอหน้ากัน และการที่จะรู้ว่าคู่ของใครเป็นคู่กับใครนั้น ส่วนใหญ่เขาก็จะมีสัญลักษณ์เพื่อที่จะแสดงให้ได้รู้ว่าคู่ใครเป็นคู่ใคร
โดยการถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือ สีอะไรกันบ้างก็แล้วแต่นัดกันเอาไว้ เพราะบางคู่นั้นไม่เคยเจอหน้ากันเลยด้วยซ้ำ หรือถ้าใครเคยเห็นหน้ากันแล้วก็จะบอกคู่ของตัวเองว่าจะอยู่ตรงมุมไหนของสนามกลาง เพราะว่านักโทษจากฝั่งชายนั้น มีเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่บอกว่าอยู่ตรงไหน มันยากนะครับที่จะเจอกันได้
ถึงแม้เขาทั้งสองคนจะไม่ได้อยู่ใกล้กัน เพราะว่าความผิดที่ได้ทำกันมา แต่ก็ไม่อาจขวางกั้นความพยายามของเขาทั้งสองไปได้ มันคือความรักครับคุณผู้อ่าน แค่ขอให้ได้เห็นหน้ากันก็พอ ให้มันคลายความคิดถึงกันไปบ้าง ถึงแม้เป็นเพียงเวลาสั้นๆและไม่นาน ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตาม แค่นี้พวกเขาทั้งสองคนก็มีความสุขกันแล้วครับ…
และเช้าวันที่ 1 ม.ค 59 ก็มาถึง มันเป็นเช้าที่สดใสอากาศเย็นสบาย ไม่หนาวมากจนเกินไป มีลมพัดโชยมาอ่อน ๆ ผมรู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมากเลยครับกับอากาศแบบนี้ มันเหมาะกับวันนี้จริง ๆ วันที่ต้องเริ่มต้นใหม่กับอะไรใหม่ ๆ ผมและไอ้แว่นได้เตรียมของแห้งไปใส่บาตรกันจำนวนคนละ 9 ชุด ส่วนมากก็จะมีมาม่า นม น้ำขวด จัดใส่ถุงเป็นชุดเตรียมไว้
เวลาที่ใส่บาตรกันจะเริ่มหลังจากที่เคารพธงชาติกันหมดแล้ว โดยที่แดนเด็ดขาดชายจะใส่เสื้อสีฟ้าเป็นเสื้อเยี่ยมญาติประจำแดน เป็นส่วนใหญ่ในการออกไปใส่บาตร ส่วนแดนแรกรับนั้นก็จะเป็นเสื้อสีน้ำตาลที่จะใส่ออกมาใส่บาตร นอกนั้นก็จะเป็นเสื้อขาวคอกลมห่านคู่ และการที่ต้องแต่งตัวแบบนี้ ก็เพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่สังเกตุดูได้ง่ายว่าใครอยู่แดนอะไรกันบ้าง แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว มันก็มั่วแดนกันเหมือนเดิม ไม่ค่อยได้อยู่ตรงจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดสักเท่าไหร่
ต่างคนต่างก็เดินไปมาหาสู่กันเพื่อพูดคุยกับเพื่อนฝูงที่อยู่กันคนละแดน ได้พบปะพูดคุยกันให้หายคิดถึง ส่วนพวกที่มีคู่ขังหญิงก็จะยืนตีซิก(ภาษามือ) กันไปมาระหว่างฝั่งสนาม จนผมเองอดคิดไม่ได้ว่านี่มาใส่บาตรหรือมาทำอะไรกันแน่วะ ส่วนพระที่มาบิณฑบาตรนั้น ก็จะมาจากวัดใกล้กับเรือนจำ มีกันเข้ามาประมาณ 9 รูป ผมกับไอ้แว่นยืนอยู่ข้างหน้าแถวเพื่อเตรียมใส่บาตรตามที่ตั้งใจเอาไว้ เพื่อเป็นศิริมงคลให้กับตัวเอง และก็ครอบครัวที่ผมได้ตั้งใจอธิฐานเอาไว้
” พี่ใหญ่ครับ พวกพี่เล็กแล้วพวกเพื่อนฝั่งนู้นยืนกันอยู่ตรงนั้นครับ ” ไอ้แว่นชี้นิ้วบอกกับผม
” อืมพี่เห็นแล้วละเดี๋ยวเราใส่บาตรเสร็จ ค่อยเดินไปคุยกับพวกเขากัน” ผมบอกกับไอ้แว่น และผมกับไอ้แว่นก็ได้ใส่บาตรกัน เพราะพระท่านเดินมาถึงตรงหน้าผมพอดี เราทั้งคู่ใช้เวลาใส่บาตรไม่นานก็เสร็จ หลังจากนั้นผมทั้งสองก็ได้เดินไปหาพี่เล็กและบรรดาเพื่อนๆที่อยู่ที่แดนนู้นกัน
” สวัสดีครับพี่เล็ก คิดถึงพี่จัง และพี่สบายดีนะครับ” ผมทักทายพี่ชายที่แสนดีคนนี้ที่ผมไม่ได้เจอหน้ากันนาน ” เช่นกันใหญ่แล้วเอ็งเป็นไงบ้าง เรื่องราวจบหมดหรือยัง ” พี่เล็กดึงผมมากอดตามประสาพี่น้องกันให้หายคิดถึง ก่อนถามผมถึงเรื่องราวต่างๆที่ได้มีเรื่องกัน
“จบหมดแล้วพี่เล็ก ผมไม่ได้โดนอะไรกันครับ พอดีป๋าเวียงเขาช่วยผมกับไอ้เบนซ์เต็มที่ จะมีก็แต่ไอ้แว่นที่มันแทงไอ้บีนั้นแหละที่ต้องโดนทำโทษ แต่ก็แค่งดเยี่ยมญาติกับตัดวันลด ส่วนผมกับไอ้เบนซ์ก็ได้หาคนมารับจบแล้วสองคน ก็เด็กในบ้านมันนั้นแหละ เออ …พี่เล็กและพวกมันสองคนเป็นไงบ้าง”
ผมได้เล่าให้พี่เล็กฟังทั้งหมด ว่าเรื่องเป็นไงบ้าง และก็ถามถึงไอ้บีกับไอ้อารต์ด้วย ว่ามันเป็นไง “ไอ้สองตัวนั้น มันก็อยู่บ้านอำเภอมันนั้นแหละ แต่กินอยู่บ้านบังดุลก็เลยไม่มีปัญหาอะไร ตอนแรกมันจะออกมาใส่บาตร แต่พี่เบรกมันไว้เพราะรู้จุดประสงค์ของมันว่าออกมาทำอะไร ตอนแรกก็เกือบจะมีปัญหากัน แต่บังดุลออกมาเคลียร์ก็เลยจบไป “ พี่เล็กบอกกับผมถึงวีระกรรมของไอ้สองคน ก่อนที่จะหันมาถามไอ้แว่นถึงอาการแขนที่หักของมันว่าเป็นไง
” แล้วมึงละไอ้แว่นเป็นไงบ้าง แขนที่หักหมอเขาว่าไงมั่ง” พี่เล็กถามไอ้แว่น พร้อมกับโอบไหล่มันเขย่าไปมา แสดงถึงความรักและเอ็นดูอย่างจริงใจ ส่วนไอ้แว่นเองนั้น มันก็คงจะตกใจในการกระทำของพี่เล็กในครั้งนี้ เพราะมันไม่เคยเห็นพี่เล็กทำแบบนี้กับใครมากนักนอกจากผม มันจึงยิ้มอย่างเขินๆก่อนจะพูดกลับไปว่า
“ผมไม่เป็นไรมากหรอกครับพี่เล็ก ผมสบายดีครับ ส่วนแขนที่หักมันหักท่อนเดียว คงจะใส่เฝือกประมาณเดือนกว่าๆ ก็คงจะถอดเฝือกได้แล้ว ” ไอ้แว่นบอก พี่เล็กผยักหน้ารับรู้ ก่อนที่พี่เล็กจะพูดกับไอ้แว่นว่า
” ไอ้แว่นพี่ขอบใจเอ็งมากนะ ที่เอ็งทำแบบนั้น พี่นับถือหัวใจของเอ็งจริง ๆ เอ็งได้ปกป้องพี่ชายที่เอ็งรัก และ คนที่เอ็งช่วยมันก็เป็นน้องชายของพี่ด้วย สิ่งที่มึงทำกูเล็กลายขอบคุณจากใจ..
“เราอยู่ด้วยกันต้องช่วยเหลือกัน เป็นพี่น้องกันต้องรักกัน มีเรื่องต้องปกป้องกันและกัน และพี่ก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าถ้าในสถานการณ์นั้นเป็นเอ็ง ไอ้ใหญ่มันจะไม่ลังเลเลยที่จะโดดเข้าไปปกป้องมึง เหมือนอย่างที่มึงทำกับมันเช่นกัน” ไอ้แว่นได้ฟังในสิ่งที่พี่เล็กพูดมันก็เลยพูดออกมาว่า
“ที่ผมทำแบบนั้นลงไป เพราะว่าผมเป็นห่วงพี่ใหญ่จริงครับ ผมเองก็ไม่รู้หรอกว่าทำไปได้ยังไง แต่ตอนนั้นในหัวของผมคิดแค่ว่า เราต้องไม่ห่างจากพี่เรา ต้องตามติดคอยระวังหลังให้ และตอนนั้นร่างกายมันสั่งให้ผมทำไปเองครับ” กับสิ่งที่ไอ้แว่นมันบอกกับพี่เล็ก ทำให้พี่เล็กหัวเราะชอบใจในความใสซื่อของมัน ส่วนกับผมนั้นมันคือความประทับใจ ผมยิ้มและนึกอยู่ในใจว่ากูเลือกคนไม่ผิดจริง ๆ และหลังจากที่พี่เล็กคุยกับไอ้แว่นเสร็จ ผมเองก็มีเรื่องที่จะคุยกับพี่เล็กเหมือนกันจึงบอกกับพี่เล็กไปว่า
“พี่เล็กครับ เดี๋ยวพอวันเปิดทำการ ผมเองจะให้คนเอาเงินเข้าไปให้พี่เล็ก 3000 นะครับ ให้ผมได้คืนให้พี่บ้างนะ และอย่าปฏิเสธน้ำใจนี้ของผมนะ” พี่เล็กเจอคำพูดแกมบังคับของผมไป แกจึงพูดอะไรไม่ออก ไปไม่เป็นเหมือนกัน ทั้งที่ใจจริงแกจะปฏิเสธไม่รับอยู่แล้ว แต่แล้วก็ต้องยอมรับไปโดยปริยาย
“ธุระกิจไปได้ดีหรือไง ” แกถามผม “ครับพี่เปิดมาบวกตลอดเลย ” ผมบอกกับแก
หลังจากที่คุยกับพี่เล็กเสร็จ ผมจึงหันไปคุยกับไอ้หมี ไอ้ฮาร์ท แล้วก็ไอ้เบนซ์เพื่อนของผมอีก 1 คน ที่เข้ามาใหม่แล้วจะย้ายมาแดนเด็ดขาดชายในรอบนี้ด้วย ผมกับไอ้เบนซ์ต่างเข้ามากอดกันด้วยความคิดถึง หลังจากที่ไม่ได้เจอหน้ากันนาน เพราะว่าผมกับมันอยู่ข้างนอกก็อยู่ด้วยกัน ไอ้เบนซ์เกมเข้ามาได้หลายเดือนแล้ว ส่วนคดีที่เกมก็คือคดียาเสพติดเหมือนกับผมนั่นเอง… (โปรดติดตามตอนต่อไป) ” หมีขาว ขั้วโลกเหนือ ” # คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่ 79
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun