คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่2
บทที่ 2 เรื่องเล่าภายในคุก
เมื่อเราอายุมากขึ้นความรับผิดชอบมันก็จะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย ต้องดิ้นรนด้วยตัวเองจะมัวมาแบมือขอเงินคนนู้นคนนี้เหมือนแต่ก่อนมันก็คงจะไม่ได้อีกแล้ว ยิ่งเป็นตัวผมในตอนนี้นั้น มันรู้สึกแปลกๆถ้าเราจะไปขอพึ่งพาใคร “ความดีไม่ค่อยจะมีแล้วใครเขาจะมาดีกับเรา ผมคิดในใจ “…ภายในห้องสี่เหลี่ยมบนชั้นสองของตัวบ้าน ผมนั้งอยู่บนเตียงที่คุ้นเคย เตียงที่ผมเอาไว้พักยามเหนื่อยล้าทั้งกายและใจ มันรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งถ้าใช้ที่แห่งนี้เป็นที่หลับนอน ผมจะไม่รู้สึกระแวงหรือต้องระวังอาไรทั้งนั้นในสถานที่ ที่เรียกว่าบ้านแห่งนี้…ผมเอนตัวลงนอนบนเตียงพยามปล่อยจิตใจที่มันสับสนอยู่ในตอนนี้ให้สงบลง ยังไม่ยากจะคิดอะไรเลยในตอนนี้ ยากจะหลับตาลงให้มันหลับไปได้เลยก็ยิ่งดี แต่ความรู้สึกที่นอนคนเดียวในเตียงที่กว้างพอสำหรับสองคนแบบนี้มันรู้สึกไม่คุ้นเคย “ถูกแล้ว” ก็ที่ผ่านมาห้องนอนของผม ผมไม่ได้นอนคนเดียวแบบนี้มันไม่ได้แสนสบายอย่างนี้ และแล้ว,หัวสมองของผมก็ได้นึกย้อนไปในตอนที่อยู่ข้างในอีกครั้ง…
110-120คน ต่อห้องขังหนึ่งห้องซึ่งปรกติแล้วมาตรฐานของกรมราชฑัณระบุไว้อย่างชัดเจนว่า60คน แต่นี้มันเพิ่มขึ้นมาอีกครึ้งหนี่งเลยทีเดียว มันเป็นปัญหาที่เรียกว่านักโทษ”ล้นคุก”โดยเฉพาะบรรดาคุกที่เรียกว่าคุกเปิดทุกที่ทุกจังหวัดต่างก็ประสพปัญหานักโทษล้นคุกทั้งนั้น เพราะผู้กระทำผิดไม่ลดลงเลยมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นทุกวันทั้งผู้กระทำผิดซ้ำที่ได้ปล่อยตัวไปไม่นาน2เดือน3เดือนครึ้งปีอย่างช้าสุดก็ปีหนึ่ง แต่ที่ผมเคยเห็นมาไวสุดแค่7วัน ” คุณผู้อ่าน อ่านไม่ผิดหรอกครับ” และมันก็เป็นเพื่อนผมเองอีกด้วย”แต่ผมจะไม่บอกนะว่าชื่ออะไรเอาไว้ผมจะเราให้ฟังในตอนต่อๆไปของเรื่องเล่าในคุกของผมแล้วกัน” บรรดานักโทษหน้าเก่าและหน้าใหม่ต่างหมุนเวียนกันเข้าออกเป็นว่าเล่น”แต่ส่วนมากจะเข้ามากกว่าออก” มันก็เลยเป็นปัญหานักโทษล้นคุก ยอมรับว่าแก้ไม่ได้หรอกครับกับปัญหานี้ ตราบใดที่มีผู้กระทำผิดซ้ำๆอยู่แบบนี้ให้สร้างคุกขึ้นใหม่กี่ที่ก็ไม่พอ และคุกที่ผมอยู่เป็นคุกเปิด
คำว่าคุกเปิดความหมายของคุกเปิดคือ คุกประจำจังหวัดนั้นๆเป็นคุกที่รับนักโทษเด็ดขาดที่ศาลได้ตัดสินแล้วกับผู้ต้องขังที่ศาลยังไม่ได้ตัดสินโทษ(แบบหลังยังไม่เป็นนักโทษแต่ศาลได้ฝากขังเอาไว้ก่อน)เรียกว่าผู้ต้องหา แต่ถ้าศาลได้ตัดสินแล้วถึงจะเรียกว่านักโทษและคุกที่ผมอยู่สามารถรองรับอัตตราโทษสูงได้ไม่เกิน25ปี และถ้าเกิน ก็จะสะสมไว้ก่อน รอเรือนจำที่รองผผผผผผม¡รับนักโทษไม่จำกัดโทษหรือที่เรียกว่าเรือนจำความมั่นคงสูงสุดเรือนจำพวกนี้เรียกกันว่าเรือนจำปิด เป็นเรือนจำที่ไม่รับผู้ต้องหาที่ศาลตัดสินเข้ามาใหม่ จะรับแต่นักโทษที่ส่งมาทางเรือนจำเท่านั้น
เรือนจำประเภทนี้จะเป็นเรือนจำขนาดใหญ่มีหลายแดนและจำกัดปริมาณนักโทษอย่างชัดเจนให้ไม่เกินกี่คน คุกปิดส่วนมากจะไม่แออัดมีนักโทษไม่มากเกินไป จะรับนักโทษก็ต่อเมื่อปริมาณนักโทษที่ได้ระบุเอาไว้ลดลง ทางด้านคุกเปิดก็จะทำการระบายนักโทษมาได้ และคุกเปิดที่ผมอยู่นั้นมีด้วยกันสองแดนเรียกว่าแดนแรกรับกับแดนเด็ดขาดแล้ว คำว่าแดนแรกรับก็คือแดนที่ศาลยังไม่ตัดสิน ทัังหมดจะอยู่แดนนี้
ส่วนแดนเด็ดขาดนั้นชื่อมันก็บอกตรงตัวอยู่แล้วว่าเป็นแดนแบบไหน”แต่ตอนนี้ปนเปกันหมดแล้วเพราะนักโทษมันมากเกินไป และแดนที่ผมอยู่คือแดนเด็ดขาดแล้ว ภายในแดนก็จะมีตึกโรงงานเป็นตึกสูงสามชั้นยาวเกือบตลอดแนวกำแพงแดนเด็ดขาดที่ผมอยู่ มีสนามฟุตบอลครึ้งดินครึ้งปูนเหมาะกับเล่น7คน ซึ้งถ้าจะให้โรนัลโด หรือ เมสซี’ มากระชากลากเลื้อยคงจะขาหักเป็นแน่ เพราะพื้นปูนกับพื้นดินมันไม่เสมอกันมันสูงข้างต่ำข้าง เวลาเลี้ยงบอลหรือวิ่ง พอไปถึงบริเวณนั้นมันเหมือนตกหลุมอากาศวูปลงไป ใครหลักไม่ดีก็หัวคม่ำล้มกลิ้งไปแต่ถ้าเราวิ่งไปอีกฝั่งนึงถ้าเลี้ยงบอลอยู่บอลไปโดนขอบปูนกระเด้งโดนหน้าก็มี สะดุดล้มเข่าแตกไปก็มี ภายในแดนนี้เขาเรียกกันว่าสนามปราบเซียนไม่ใช่แค่เล่นเก่งอย่างเดียวมันจะพอต้องหมั่นสังเกตให้ดีอีกด้วย จากสนามบอลต่อไปก็เป็นเรือนนอนสามชั้น ชั้นละ7ห้อง ชั้นแรกเป็นห้องใหญ่พิเศษมีอยู่ห้องเดียวผมขอเรียกว่าพิเศษ1แล้วกัน(ถ้าเรียกตามจริงคุณผู้อ่านบางคนต้องรู้แน่ว่าเรือนจำอะไร) ห้องพิเศษ1รองรับผู้ต้องขังได้มากที่สุดในแดนและนอนสบายที่สุดในแดนเป็นห้อง
สำหรับคนแก่ชราพิการพวกมีหน้าที่และพวกพิเศษทั้งหลาย ก็จะมีพวกป่วย มีโรคประจำตัวพวกที่เจ้าหน้าที่เลือกให้มานอนและพวกที่เสียเงินมานอนห้องพิเศษ1 ราคาอยู่ที่4500-6000บาทถ้าอยากจะซื้อความสบายในคุกที่มันแสนจะแออัดแบบนี้ จะถูกหรือแพงก็อยู่ที่โทษที่เหลือเป็นเกณ โทษเหลือน้อยก็ถูกถ้าเหลือเยอะก็แพงหน่อยเท่านั้นเอง แต่ประเด็นมันไม่ใช่แค่มีเงินอย่างเดียวก็จะอยู่ได้ มันขึ้นอยู่กับคนกลางหรือตัวเชื่อมที่เราไปติดต่อว่ามีพาว์เวอร์มากพอขนาดไหน สามารถไปคุยให้เราได้โดยที่ไม่โดนส้นตีนเจ้าหน้าที่ผู้คุมที่รับผิดชอบกลับมา ทุกอย่างมันก็มีระบบระเบียบการดำเนินการ”กิน”ไม่ต่างอะไรกับระบบราชการข้างนอกหรอกครับ แถมดีกว่าข้างนอกตรงที่ไม่มีใครตรวจสอบอีกต่างหาก ถัดขึ้นไปก็คือชั้นสองมีอยู่7ห้องนอนขนาดเท่ากันหมดเรียกว่า ห้องนอน1/1ถึง1/7มีนักโทษไม่เกิน120คนต่อหนึ่งห้อง
ชั้นสามก็เหมือนกันไม่ต่างกันเลยคือห้องนอน2/1ถึง2/7รวมทั้งสองชั้น14ห้องในแต่ละห้องก็จะมี หัวหน้าห้อง มีหน้าทีดูแลรับผิดชอบและมีอำนาจตัดสินใจทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทั้งหมด พูดง่ายๆคือใหญ่ที่สุดในห้องและลูกห้องทุกคนต้องเชื่อฟังหัวหน้าห้องเพราะแต่ละห้องก็จะมีกฎระเบียบของห้องอยู่ เช่น ห้ามทาเลาะวิวาทกัน ถ้ามีเรื่องในห้องก็จะต้องโดนเก็บยอด ก็แล้วแต่กฎของห้องนั้นๆว่าหนักเบาขนาดไหน การเก็บยอดคือการเตะไปที่หลังและหน้าอกจำนวนครั้งก็แล้วแต่ห้องใครจะกำหนดขึ้นมาหน้า3หลัง3 หน้า2หลัง2หรืจะหลังเพรียวๆ5ทีก็มี
การกระทำดังกล่าว หัวหน้าห้องมีหน้าที่รับจบคือเป็นคนทำเองหรือให้คนไหนทำก็แล้วแต่หัวหน้าห้อง ต่อไปก็เป็นรองหัวหน้าห้องมีหน้าที่รับคำสั่งจากหัวหน้าห้องอีกทีหนึ่งแล้วก็มาบอกลูกห้องนั้นเอง อีกคนก็คือเสมียนห้องคำว่าเสมียนหลายคนคงจะรู้จักว่ามีหน้าที่รับผิดชอบอะไร เสมียนมีหน้าที่จดบันทึกทุกอย่างในห้อง ก็มีจดบันทึกประวัติลูกห้องทั้งหมดว่ามีใครบ้าง ชื่ออะไร โทษตัดสินเท่าไหรเหลือโทษจำอีกเท่าไหร ต้องโทษคดีอะไร มีรอยสักหรือตำหนิตรงไหนบ้างในร่างกาย และหน้าที่อีกอย่างก็คือคอยเรียกยามในห้อง ภายในห้องนอนทุกห้องจะมียาม ยามมีหน้าที่เฝ้าและคอยดูคนในห้องหลับ ในหนึ่งคืนมียามทั้งหมด3ผลัด ผลัดละ3ชม.เริ่มตั้งแต่3ทุ่มถึง6โมงเช้า ยามในแต่ละคืนเราก็เอามาจากนักโทษที่มีในห้องนั้นหมุนเวียนกันขึ้นยาม ส่วนพวกที่ไม่ต้องขึ้นยามก็จะมี หัวหน้าห้อง รอง เสมียน และพวกโยธาที่คอยทำความสะอาดห้องในตอนเช้าที่ปล่อยนักโทษลงจากห้องแล้วอีก7คนรวมแล้วก็10คนพอประมาณที่ไม่ต้องขึ้นยาม หลายคนคงสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมต้องมียาม มันคงไม่ใช่แค่การเฝ้าคนหลับเฉยๆแน่นอน ประเด็นหลักเลยก็คือที่จะนอนมันไม่เพียงพอ ก็อย่างที่ผมได้บอกไว้ในเบื่องต้นว่าหนึ่งห้องนอนต่อนักโทษแค่60คน แต่นี้มีถึง120คนให้ผมอธิบายยังไงคุณๆคงไม่เข้าใจว่าจะอัดเข้าไปนอนได้ยังไงหมด เรือนจำก็เลยต้องทำชั้นสองขึ้นมาในแต่ละห้องเป็นเหมือนชั้นลอยความจุประมาณ25คนถ้าถามว่านอนสบายขึ้นไหม ขอตอบเลยว่าไม่ช่วยอะไรเลย
ก็ต้องมียามเพิ่มขึ้นมาในหนึ่งคืนมียามทั้งหมด9-10คนแล่วแต่จำนวนนักโทษที่มีทัังหมดในห้องถ้าอยากจะนอนกันให้สบายขึ้นมาอีกคนละนิดคนละหน่อยก็เพิ่มเป็น12-13ไม่ก็14-15คนก็แล้วแต่ที่ห้องจะตกลงกัน ถ้ายามเย่อะก็โดนยามกันเร็วหน่อยก็เท่านั้นเอง และถ้าใครโดนยามแล้วไม่อยากขึ้นยามเอง เราก็มีระบบรับจ้างขึ้นยามให้แทนโดยระบบการจ้างยามราคามันอยู่ที่60บาท “แต่ในคุกเราไม่มีเงินสดให้ใช้จ่าย เราก็เลยมีตัวช่วยที่ใช้แทนเงินสดกันในคุกคือนมกล่องที่มีให้ซื้อในราคากล่องละ10บาทแทนนั้นเอง “และ
นักโทษคนไหนอยากจะทำหน้าที่เป็นยามก็มาสมัครได้ที่เสมียนห้องโดยเราจะเรียกพวกเขาว่าแท็กซี่ และการเป็นแท็กซี่ก็ต้องมีค่าเสื้อวินที่ต้องจ่าย และจ่ายให้ใคร ใครเป็นผู้รับผลประโยชน์ ก็พวกหัวหน้าห้อง รอง เสมียน ส่วยที่ต้องจ่ายของเหล่าบรรดาแท็กซี่ก็คือ ได้ขึ้นยามครบ7วันก็จะได้รับแค่5วัน คิดเป็นเงินที่แท็กซี่ได้รับคือ300บาท และเสียค่าเสื้อวินไป120บาท ถ้ามาลองคิดดูคราวๆในหนึ่งอาทิตย์ รายได้ที่ขาใหญ่ประจำห้องได้รับจากค่าเสื้อวิน คิดกันคราวๆหนึ่งคืนมียาม10คนเฉลี่ยขึ้นยามเอง3คนนอกนั้นจ้างทั้งหมด7คนที่แท็กซี่ขึ้นให้แทนรวม7วันหักคนละ120บาทรวมเป็นเงิน840บาท เงินจำนวนนี้ถ้าเปรียบเป็นจำนวนเงินที่ใช้กันข้างนอกก็คงไม่ได้มากอะไรเลย แต่สำหรับในคุก840บาท
สามารถใช้ได้ทั้งเดือนเลยที่เดียว แถมไม่ต้องทำอะไรเลยจะทำก็แค่คอยเก็บนมค่ายามที่พวกนักโทษได้เป็นคนจ้างให้ขึ้นยาม รวบรวมเอาไว้ให้บรรดาแท็กซี่เท่านั้นเอง โดยที่เหล่าแท็กซี่จะได้ไม่ต้องตามเก็บให้เสียเวลา และสถานที่ภายในห้องที่บรรดายามต้องประจำการอยู่นั้นคือบริเวณ”บล็อค”หรือส้วมที่เรารู้จักกัน มันจะอยู่มุมท้ายห้องขนาด
ยาว2ม.กว้าง1เมตรแต่อัตราการบรรจุจำนวนยามถึง10คนแออัดยัดเยียดอยู่ในนั้นทั้งคืนทุกคน ถึงแม้จะขึ้นยามผลัดที่หนึ่ง3ทุ่มถึงเที่ยงคืนก็ตาม อย่าคิดว่าจะมีที่นอนตรงอื่น ก็ต้องนอนในบล็อคกันแบบนั้น คิดดูสิครับเวลาผมจะเข้าบล็อคทีนึงมันลำบากขนาดไหน แค่”เยี่ยว”ไม่เท่าไหรแต่ถ้า”ขี้”ขึ้นมาทีละก็…
บรรยากาศช่างสุนทรีเหลือเกินนั้งขี้โดยมีคนห้อมล้อมมากขนาดนี้ เชื่อเหลือเกินว่าใครเข้ามาใหม่ๆมีอาการขี้ไม่ออกกันทุกคน จะเบ่งแรงๆก็กลัวเสียงมันจะดัง เขินๆยังไงชอบกล แต่สำหรับผมชินซะแล้วปล่อยทีไม่มียั้งทั้งเสียงและกลิ่น “หึ หึ” “และผมจะอธิบายให้คุณผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพได้ไงนะ ว่าพวกเรานอนกันยังไง” เอาเป็นว่าคุณผู้อ่านนึกภาพตามผมนะครับ พื้นที่หน้าห้องนอนคือประตูทางเข้าห้อง นักโทษนอนตามแนวความกว้างของห้องจะได้8คนในลักษณะไหล่ชนไหล่กันผมขอเรียกว่าแถวที่หนึ่งนะครับ เพื่อคุณผู้อ่านจะได้ไม่งง แถวที่หนึ่งเป็นแถวที่นอนสบายที่สุดในห้อง มีไว้สำหรับพวกหัวหน้าห้อง รอง เสมียน และพวกลิ่วล้อขาใหญ่ขาเล็ก จิ๊กโก๋กระโหลกกระลาทั้งหลายที่คิดว่าใครๆต้องกลัวเกรงพวกมัน แต่ในสายตาผมไม่คิดที่จะกลัวแม้แต่นิดเดียว” เก่งไม่กลัว กลัวมาเยอะมากกว่า
“ถัดลงมาคือแถวที่2 แถวนี้ก็จะสบายพอๆกับแถวแรก แตกต่างกันเพียงมีจำนวนคนเพิ่มขึ้นเป็น10คนโดยนอนเหมือนกันกับแถวแรก แต่หันเอาขามาชนกันลักษณะเกยกันแค่ข้อเท้าเท่านั้น และนอนเบียดกันแค่ไหล่เกยทับกันคนละนิดเท่านั้นเอง และพวกที่นอนแถวสองจะเป็นพวกที่อยู่กับหัวหน้าห้องเป็นลูกบ้านของหัวหน้าห้อง(เรื่องการอยู่เป็นบ้านๆในคุกผมขอเก็บไว้เล่าในบทต่อๆไปแล้วกันนะครับ) และก็พวกที่เสียเงินซื้อที่นอนซื้อความสบายนั้นเอง ส่วนราคาค่าที่นอนก็แล้วแต่ที่แต่ละห้องจะคิดส่วนมากราคาจะอยู่ที่ประมาณ3000-4000บาทขึ้นอยู่กับความสนิทของหัวหน้าห้องกับคนที่เข้าไปคุย หรือไม่ถ้าสนิทกันมากมี”ซำซิ่งรอง”(คำศัพท์ในคุกหมายถึงมีส่วนได้ส่วนเสียต่อกันทั้งข้างนอกและข้างในคุก)ก็อาจจะได้นอนฟรี
ผมเองก็นอนอยู่แถวสองเหมือนกัน แต่ไม่ได้กินอยู่กับหัวหน้าห้องหรอก”ผมไม่ชอบขี้หน้ามันซะมากกว่า’ เม่งแอ๊คอ๊าทสมาดด็อก'(หมายถึงวางฟรอม์เหมือนหมา) “รอเเม่งผลาดมาเข้าทางตีนผม ผมรอจนผมปล่อยเเม่งก็ไม่ผลาดเข้าทางตีผมสักที และไอ้เรื่องที่ผมจะต้องมาเสียเงิน ให้ต้องเดือดร้อนพ่อแม่ขนาด3-4พัน ก็ไม่มีวันได้แดกผมหรอก ผมไม่ใช่คนประเภทต้องใช้เงินซื้อความสบาย ผมมันคนประเภทอยากได้อะไรต้องสร้างต้องหาขึ้นมาเอง “การทำตัวให้คนอื่นเขากลัวมันเทียบไม่ได้กับการทำตัวให้คนอื่นเขาเกรง”ไม่ได้หรอกครับ ผมมันเป็นคนประเภทแบบหลัง จะให้ผมต้องเสียอะไรละครับ ก็ในเมื่อรองหัวหน้าห้องมันเป็นลูกน้องเก่าของผม ผมคอยดูแลและปั้นมันมากับมือ มันจะปล่อยให้ผมนอนลำบากได้ไง “จริงไหมครับคุณผู้อ่าน”ผมรู้หัวหน้าห้องมันก็อยากจะขัด แต่มันทำไม่ได้ เพราะมันก็รู้ว่ากิติศัพท์ในตัวผมตอนอยู่ข้างนอกคุกมันเป็นยังไง เคยสำผัสกันมาบ้างแล้ว
เพียงแต่แค่ยังไม่ได้ปะทะกันตรงๆก็เท่านั้นเอง และนี้ก็คือสาเหตุที่ผมได้นอนอยู่แถวสองนั้นเอง ต่อมาก็จะเป็นแถวที่3 แถวที่3มีแค่ครึ้งห้องจะอยู่ตรงใต้ชั้นลอยทั้งหมดหันหัวชนกับแถวที่2ที่อยู่ใต้ชั้นลอยเหมือนกัน จะนอนได้ประมาณ5คนต่อมาก็แถวที่4นอนหันตีนชนกับแถวที่3 แล้วก็แถวที่5จะหันหัวชนกับแถวที่4 และก็แถวสุดท้ายคือแถวที่6แถวนี้จะยาวกว่าแถวที่3-4-5คือนอนกัน7คน คนสุดท้ายจะนอนติดกับขอบบล็อค หันหัวติดกำแพงท้ายห้อง นับตั้งแต่แถวที่3-4-5-6นอนกันในลักษณะไหล่ทับไหล่กันคนละข้างส่วนขาจะเกยกันถึงหัวเขา พวกที่นอนตรงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นพวกเด็กฝากซึ่งคือลูกบ้านของพวกหัวหน้าห้องอื่นๆฝากให้ดูแล
มันก็จะเป็นแบบนี้เหมือนกันหมดทุกห้อง ฝากกันไปมาดูเหมือนต่างจะพึ้งพาอาศัยกันและกัน เปล่าเลยครับทุกอย่างมีผลประโยชน์ทั้งนั้น ผมจะบอกให้ฟังคำว่าบุญคุณข้างนอกคุกมันมากขนาดไหน แต่ข้างในต้องคูณสองบุญคุณในคุกกว่าจะตอบแทนกันหมดเเม่งยากฉิบหาย ไม่ว่าเราจะทำมาหากินอะไรเรื่องไหนที่เราได้ผลประโยชน์เเม่งจะต้องขอมีเอี่ยวด้วยตลอดทุกเรื่อง จะไม่ให้เเม่งก็ต้องทำเป็นมีอาการ ทรงจะเริ่มเยอะมากขึ้น สักพักคำพูดก็จะเริ่มมีตามมา “มึงเเม่งไม่เฟี้ยว ไม่เหมือนกูเลย” ลืมกูไปแล้วใช่ป่ะ นั้นไงกูว่าแล้วมึงมันไม่เหมือนเดิม” ยกตัวอย่างแค่นี้พอ แต่เชื่อผมเถอะคนในคุกเเม่งคำพูดเยอะกันทั้งนั้น ทางที่ดีอย่าไปขอให้ใครช่วยเป็นดีที่สุดถ้าคนที่ช่วยคุณพวกนั้น ไม่ใช่เพื่อนของคุณหรือไม่เป็นคนที่คุณกินอยู่ด้วยกัน
นอกนั้นมันไม่ช่วยคุณด้วยใจหรอกครับเหมือนคำพูดที่ว่า”ของฟรีไม่มีในโลก” เรามาเล่าต่อกันเรื่องที่นอนในห้องขังกันดีกว่าครับ เรามาดูกันที่ชั้นลอย บนชั้นลอยแบ่งได้อีก5แถว นอนกันแถวละ5คนลักษณะการนอนก็เหมือนกับแถวข้างล่างเช่นกัน แถวแรกหัวชนหน้าห้องส่วนแถวสุดท้ายหัวชนหลังห้องส่วนแถวที่เหลือก็ขาชนขา หัวชนหัว นอนเบียดกันแบบไหล่ทับไหล่ส่วนขาก็ทับไขว้กันถึงหัวเขา
ต่อไปถึงช่วงไฮไลย์ที่ผมอยากจะนำเสนอคุณผู้อ่านมากที่สุด ให้คุณผู้อ่านรับรู้ถึงความสามารถในการใช้พื้นที่ ที่เหลืออยู่อย่างมีประสิทธิภาพ ของรองหัวหน้าห้องกับเสมียนห้องในการจัดแถวนอนของ2แถวสุดท้าย ที่นอนในลักษณะต่างไปจากทุกๆแถวในห้องเป็นแถวตอนตามความยาวของหัอง และทั้ง2แถวหันชนกัน ในแต่ละแถวนอนกันประมาณ13-14คน ในสองแถวนี้มีชื่อเรียกติดปากกันว่า “สลัมคลองเตย สลัมบอมเบย์ “คือนอนกันในลักษณะสลับฟันปลากับคนที่นอนฝั่งตรงข้ามกับเรา ต่างคนก็ต่างมีหมอนข้างส่วนตัวกันทุกคน ก็คือขาของคนที่นอนฝั่งตรงข้ามของเรา และจะนอนไหล่ทับไหล่กันไม่ได้นะครับมันดูง่ายไป ต้องแบบนี้นอนตะแคงเบียดกันเข้าไป ผมเคยลองมอง
ด้วยตาคาดคะเนดูแล้วยังไงก็ลงนอนไม่ได้ แต่เสมียนกับรองหัวหน้า ก็ได้สร้างความประหลาดใจให้กับผมได้เสมอทุกคืน ผมตื่นเต้นกับการจัดที่นอนของพวกมัน มันสามารถเอานักโทษทั้ง 28 คนที่เหลือ ให้ลงไปนอนอัดกันได้ กับพื้นที่พอสำหรับแค่16คน ต้องขอปรบมือให้กับมัน ในใจจริงๆ ทุกพื้นที่ทุกตรางนิ้วในห้องขังไม่มีที่ว่างแม้แต่จะเอาแมวลงไปนอนได้เลย เต็มหมดทุกตรางนิ้วขนาดผมหรือพวกที่นอนหน้าห้องจะเดินไปเยี่ยว ก็หมดสิทธ์เดินไปได้แบบปรกติ ต้องเดินแบบเขย่งก้าวกระโดด และขันตอนแรกในการเขย่งก้าวกระโดด เราต้องประมวนพื้นที่ว่างโดยรวมทั้งหมดของสลัมบอมเบย์ มันก็คือช่องว่างระหว่างใจ ช่องว่างที่ตีนเราจะสอดเขาไปได้ที่ละขาที่ละขา พอคำนวนพื้นที่ลงจอดได้แล้ว สติเริ่มมาหายง่วงแล้ว ก็ถึงเวลาเขย่งก้าวกระโดดไปให้ถึงบล็อคจุดหมายปลายทางที่ต้องการ
คุณผู้อ่านอาจจะคิดว่าผมเขียนโอเวอร์ไปรึเปล่า มันลำบากขนาดนั้นเลยรึไง ทำเหมือนมันไกลมาก “หึ” ผมจะบอกว่าที่ผมเล่ามาคือเรื่องจริง ถ้าใครไม่เชื่อที่ผมพูด คุณมีเพื่อนหรือเพื่อนของเพื่อนอีกที หรือใครที่คุณรู้จักเคยติดคุก ลองถามดูครับ แล้วคุณจะได้คำตอบ ว่าผมนั้นของจริง การที่เรานอนหน้าห้องและเราจะเดินไปเยี่ยวที่หลังห้องนั้น มันลำบากจริงๆนะครับขนาดผมคาดคะเนพื้นที่ลงจอดของตีนแล้วก็ตาม พอเริ่มก้าวเดินพื้นที่ตรงนั้นที่เราคาดคะเนไว้แม่งกับหายไปกะทันหัน เป็นแบบนี้ก็ฉิบหายสิครับ ไอ้คนที่นอนดันเสือกขยับตัวกระทันหัน เจอแบบนี้ ขอบอกว่าแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ล่วงซิครับรออะไร ไม่เหยียบที่ขาก็ที่ใข่ หนักสุดก็ล้มทับสะดุ้งตื่นกันทั้งแถบและก็มีอีก 1 choice ให้เลือกคือขึ้นไปไต่ขอบชั้นลอยให้เหมือนกับสไปเดอร์แมน หวาดเสียวนิดๆตรงที่มีพัดลมเพดาน 3 ตัวหมุนอยู่ข้างหลัง ระยะความห่างไม่ถึงคืบ เสียวดีใช่ไหมล่ะครับคุณผู้อ่านแถมจุดลงจอดระหว่างขอบชั้นลอย กับขอบบล็อค ต้องใช้ขาเพียงข้างเดียว พุ่งลงมาเหยียบขอบบล็อคให้ได้ ขอบอกว่าเป็น choiceวัดใจสุดๆท่าพุ่งลงมาพลาดไม่มีโอกาสครั้งที่ 2 ให้แก้ตัวแน่นอน ร่วงยิ่งกว่าตอนเดินอยู่ข้างล่างซะอีก คือถ้ามือเกาะราวเหล็กชั้นลอยไม่ดี ได้หล่นลงไปทับคนที่นอนอยู่ข้างล่างแน่นอน เห็นไหมครับคุณผู้อ่านมันไม่มีอะไรง่ายเลยกับการที่ต้องอยู่ในคุก ขนาดแค่ลุกไปเยี่ยวมันยังดูยากขนาดนี้ และมันก็ยังมีอะไรที่ยากกว่านี้ ที่ผมจะเล่าให้ฟังในบทต่อไปข้างหน้าอีกเยอะ คุณผู้อ่านก็อย่าเพิ่งเบื่อผมไปซะก่อน มันจะ amazing และฮาขนาดไหนอย่าลืมมารออ่านกันนะครับ… แล้วพบกันใหม่บทหน้า “สวัสดีครับ” ( หมีขาว ขั้ว โลกเหนือ)
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending