ย้อนอดีตประเทศอัฟกานิสถาน ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง จนถูกขานนามว่า “ไข่มุกแห่งเอเชีย”
ประวัติความเป็นมาของประเทศอัฟกานิสถาน
อัฟกานิสถานตั้งอยู่ในบริเวณ รอยต่อของเอเชียกลาง เอเชียตะวันตก และเอเชียใต้ ประวัติศาสตร์ของอัฟกานิสถานนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับการอพยพ ของคนกลุ่มต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในประเทศ ส่วนมากจะเป็นคนเชื้อสายอิหร่านที่พูดภาษากลุ่มอิหร่าน คือภาษาปาทาน และ ภาษาดาริเปอร์เซีย ดังนั้นอิทธิพลของชาวอาหรับที่เข้ามาในประเทศอัฟกานิสถานนั้นมาพร้อมกับศาสนาอิสลาม จึงทำให้ในเวลาต่อมาศาสนาอิสลามได้ฝังรากลึกลงไปในประเทศอัฟกานิสถานนี้ จนมาถึงปัจจุบันก็ยังคงนับถือศาสนาอิสลามกันอย่างเหนียวแน่น
การเจริญรุ่งเรืองในยุคก่อนคริสต์ศักราชของประเทศอัฟกานิสถาน
ประเทศอัฟกานิสถานนั้น เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเปอร์เซียในยุคที่จักรวรรดิเปอร์เซียเรืองอำนาจราวปี 559 ถึง 330 ปี ก่อนคริสตศักราช จักรวรรดิเปอร์เซีย เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองถึงขีดสุดในยุคโบราณ ทั้งวัฒนธรรม การปกครองและความเป็นอยู่ของประชาชน ยุครุ่งเรืองที่สุดในจักรวรรดิเปอร์เซีย คือรัชสมัยพระเจ้าดาไลอัสมหาราช และสมัยพระเจ้าเซอร์ซีสมหาราช(มีบทบาทสำคัญในการสู้รบกับจักรวรรดิกรีโบราณ) ตั้งอยู่บริเวณประเทศอิหร่านในปัจจุบัน
จักรวรรดิเปอร์เซียก่อตั้งโดยพระเจ้าไซรัสมหาราชได้ขยายดินแดนทางตะวันออกกลางทั้งหมด พระเจ้าไซรัสมหาราชเป็นผู้ปรีชาสามารถทางด้านการรบและการปกครองพระองค์จึงนำความเจริญมาสู่จักรวรรดิเปอร์เซีย
ต่อมาพระเจ้าแคมไซซีสที่ 2 ซึ่งเป็นพระโอรสของพระเจ้าไซรัสมหาราช พระเจ้าแคมไซซีสที่ 2 ก็ยังทรงดำเนินรอยตามพระบิดาซึ่งก็ได้ขยายดินแดนไปยังอียิปต์และจักรวรรดิเนมียะห์ จักรวรรดิเปอร์เซียจึงมีความรุ่งเรืองมาเป็นระยะเวลาหลายร้อยปี ก่อนจะสิ้นสุดลงในสงครามของอเล็กซานเดอร์มหาราช
หลังจากสงครามสิ้นสุดลงก็ได้มีอารยธรรมของกรีกโบราณเข้ามายังดินแดนเปอร์เซีย และมีอีกหลากหลายอารยธรรมที่ได้เข้ามายังดินแดนแห่งนี้ไม่ขาดสาย ทั้งอินเดีย ศาสนาพุทธ และประเทศจีน ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ ดินแดนนี้เปรียบเหมือนเส้นทาง “สายไหม” ที่ถอดยาวไปยังดินแดนอื่น เป็นเส้นทางการค้าที่มีความสำคัญในยุคนั้น และในเวลาต่อมาศาสนาอิสลามก็ได้เข้ามา และได้กลายเป็นศาสนาประจำดินแดนแห่งนี้จนมาถึงปัจจุบัน
หลังสิ้นยุคจักรวรรดิ อัฟกานิสถานได้เริ่มก่อตั้งและเปลี่ยนการปกครองเป็นระบอบกษัตริย์ อีกทั้งยังยึดถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ
ศาสนาอิสลามเริ่มเข้าสู่บริเวณนี้กลางคริสต์ศตวรรษที่ 7และได้เผยแพร่ศาสนาอย่างจริงจังในศตวรรษที่ 9 ถึง 12 ในระบอบกษัตริย์ประเทศอัฟกานิสถาน ได้เปลี่ยนราชวงศ์อยู่อีกหลายครั้ง และในประวัติศาสตร์การเมืองของรัฐอัฟกานิสถานสมัยใหม่ เริ่มต้นที่ราชวงศ์โฮแท็กซึ่งประกาศเอกราชในอัฟกานิสถานตอนใต้ ในคริสต์ศักราช 1709 และก่อตั้งเป็นอาณาจักรดูรานี ในคริสต์ศตวรรษที่ 1747 แต่ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 อัฟกานิสถานนั้น ได้มีสงครามระหว่างจักรวรรดิบริสติช(อังกฤษในปัจจุบัน) แล้วก็รัสเซีย
ในสงครามครั้งที่ 1 กับอังกฤษ เกิดขึ้นในคริสต์ทศวรรษที่ 1839-1842 อังกฤษซึ่งในตอนนั้นปกครองอินเดียอยู่ ก็ได้พยายามที่จะเข้ามาควบคุมอัฟกานิสถาน แต่สุดท้ายก็ได้พ่ายแพ้สงครามในการสู้รบครั้งที่ 3 ในคริสตศักราช 1919 ปลอดจากอิทธิพลของชาวต่างชาติ และได้ราชาธิปไตยในสมัยพระเจ้าอามานุลเลาะห์ ถึงจะได้รับชัยชนะ แต่ความสงบสุขในประเทศอัฟกานิสถานส่วนมากจะอยู่ไม่ได้นาน นับจากสิ้นสุดสงครามอังกฤษในคริสศักราช 1973 อัฟกานิสถานก็ได้มีการโค่นล้มระบบกษัตริย์เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ
หลังจากนั้นความสงบสุขในประเทศเริ่มลดน้อยลง มีสงครามในประเทศไม่เว้นแต่ละวัน และหลังจากโค่นล้มระบอบกษัตริย์ได้เพียง 5 ปี ก็มีการทำรัฐประหารเป็นครั้งที่ 2 ในปี 1978 แล้วก็เปลี่ยนประเทศอัฟกานิสถานเป็นรัฐสังคมนิยมโดยพรรคคอมมิวนิสต์
พรรคคอมมิวนิสต์พยายามปฏิรูปประเทศตามลัทธิคอมมิวนิสต์ ทำให้การปฏิบัติตนตามหลักศาสนาถูกสั่งห้าม และได้เชิญโซเวียตเข้ามามีส่วนร่วมปรับปรุงประเทศสร้างถนน โรงเรียน โรงพยาบาล ถึงแม้จะมีความเจริญทางด้านเทคโนโลยี แต่ทางด้านศาสนากับถูกลดบทบาทลงไปอย่างเห็นได้ชัด เพราะหลักคำสอนของศาสนาส่วนใหญ่ จะไม่ค่อยลงรอยกับระบบการปกครองคอมมิวนอสต์ที่โซเวียตนำมาเผยแพร่
ภายใต้อิทธิพลของโซเวียตที่ขัดต่อหลักศาสนา จึงทำให้เกิดกลุ่มต่อต้านต่างๆ ขึ้นมา โดยเฉพาะพวกที่ตั้งตัวว่าเป็นมูจาฮีดีน(นักรบศักดิ์สิทธิ์หรือนักรบศาสนา) ที่รวมตัวกันกลายเป็นกองกำลังลุกขึ้นมาต่อสู้ จนเกิดการโจมตีจากกลุ่มต่อต้านไปทั่วอัฟกานิสถาน จนฝ่ายรัฐบาลได้แพ้ไปในที่สุด และกลุ่มมูจาฮีดีนก็ได้เข้ามาปกครองประเทศอัฟกานิสถาน ทำให้โซเวียตได้ส่งกำลังทหารเข้ามาช่วยเหลือรัฐบาลคอมมิวนิสต์ และได้บุกถึงกรุงคาบูลซึ่งเป็นเมืองหลวงสำเร็จ
นับเป็นจุดเริ่มต้นการยึดครองอัฟกานิสถานอีกครั้ง ทำให้เวลาต่อมาได้เกิดสงครามต่อต้านโซเวียตขึ้นมาอีก และสงครามยุติลงในปีค.ศ. 1989 หลังจากโซเวียตถอนกำลังทหารออกไปรวมระยะเวลา ตั้งแต่ปีค.ศ.1980-1989 เป็นเวลาทั้งสิ้นกว่า 9 ปี ที่โซเวียตยึดครองอัฟกานิสถาน
ในชัยชนะที่ได้รับมานั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซาอุดิอาระเบีย และปากีสถานได้ให้การช่วยเหลือ จึงเกิดเป็นกลุ่มต่อต้านโซเวียตขึ้นมาทำให้มีนักรบมุสลิมจากต่างชาติเข้าร่วม ในกลุ่มต่างชาติเหล่านี้หนึ่งในนั้นคืออุสุมา บีละดิน ที่อยู่ในกลุ่มมูจาฮีดีนอีกด้วย
พวกเขาได้รับการฝึกฝนการรบและยุทธวิธีต่างๆ จากกองทัพสหรัฐฯและซาอุดิอาระเบีย จนเกิดได้มีการแตกแยกจากกลุ่มมูจาฮีดีน ออกมาตั้งกลุ่มใหม่ของตนเองคือกลุ่มอัลกออิดะห์ เพื่อต่อต้านโซเวียตต่อไป
กลุ่มอัลกออิดะห์ได้ร่วมมือกับกองกำลังมุสลิมทั่วโลก เข้าทำการสู้รบและสามารถทำให้โซเวียตต้องถอนทหารออกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปีค.ศ.1989 ถึงแม้กองทัพโซเวียตจะถอนกำลังแล้ว แต่ความช่วยเหลือจากสหรัฐและซาอุก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัญหาภายในกปรกับความไม่เสถียรของรัฐบาลก็ทำให้สหภาพโซเวียตล่มสลาย ผลจากการที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย จึงเกิดเป็นผลพวงทำให้รัฐบาลของนายนาญิบุลลอฮ์ล่มสลายตามไปด้วยในปีค.ศ. 1992
อับดุลซาอิดดอสตูม และ อาหมัด ชาห์ มาซูด จึงได้ทำการเข้าปกครองกรุงคาบูลและได้จัดตั้งรัฐอิสลามอัฟกานิสถานขึ้นมา ในเวลาต่อมาก็ได้มีกลุ่มตาลีบันซึ่งเป็นพวกอิสลามมูลวิวัติ หรือพูดง่ายๆเลยเป็นพวกกลุ่มหัวรุนแรงแล้วใช้ระบอบอิสลามสมัยเก่า ซึ่งเคร่งครัดในกฎระเบียบของศาสนาอิสลามเป็นอย่างมาก และเข้าปกครองประเทศในคริสตศักราช 1996 และปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการ
ซึ่งได้ลิดรอนสิทธิมนุษยชน และสิทธิสตรีอย่างรุนแรง ห้ามมีการศึกษาเล่าเรียนในวิชาที่ไม่เกี่ยวกับศาสนา สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก สื่อข่าวต่างๆได้โจมตีเสนอข่าวเกี่ยวกับกลุ่มตาลีบันไปทั่วโลก จนถูกเรียกจากชาวต่างชาติหรือประเทศต่างๆ ว่าเป็นผู้ก่อการร้ายและได้ทำการก่อการร้ายกับประเทศสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ. 1999 ในเวลาต่อมากลุ่มตาลีบันก็ถูกโค่นอำนาจลงจากสหรัฐอเมริกา ในปีคริสต์ศักราช 2001
สหรัฐอเมริกาได้ควบคุมพื้นที่ในส่วนใหญ่ของประเทศและก่อตั้งรัฐบาลใหม่ของอัฟกานิสถาน ในตอนนั้นอัฟกานิสถาน ก็ต้องพึ่งพาความช่วยเหลือทางทหารและทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา จึงมักถูกเรียกประเทศอัฟกานิสถานว่าเป็นรัฐบริวารของสหรัฐ
จากระบบกษัตริยเปลี่ยนเป็นระบบประธานาธิบดี โดยยึดกฎหมายของอิสลามและปรับเปลี่ยนเป็นบางข้อเพื่อใช้บริหารประเทศก็ยังมีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย โดยเฉพาะกลุ่มตาลีบันที่ยังหลงเหลืออยู่ ที่มักจะออกมาโจมตี ก่อความไม่สงบอยู่ตลอดเวลา สภาวะในประเทศย่ำแย่ ประชาชนยากจน และที่สำคัญเลยคือการคอรัปชั่นที่สูงมากในอัฟกานิสถาน ก็ยิ่งทำให้ประเทศดิ่งเหวลงไปอีก
ประเทศอัฟกานิสถานนั้นนับถือศาสนาอิสลาม โดยมี 2 นิกายคือนิกายซุนนีกับนิกายชีอะห์ ถึงแม้จะเป็นประเทศที่ปกครองตนเอง แต่ก็ยังต้องอยู่ภายใต้การดูแลของสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 20 ปี จนสหรัฐอเมริกาได้ถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถานจนหมด จากนั้นก็ได้ถูกกลุ่มตาลีบันกลับเข้ามาบุกยึดอัฟกานิสถานอีกครั้งโดยผู้นำกลุ่มตาลีบันที่ชื่อ มูลเลาะห์ บาราดาร์ อัคคุนด์ ได้บุกยึดเมืองหลวงของประเทศอัฟกานิสถานและเมืองต่างๆได้โดยสมบูรณ์
บทสรุปประเทศอัฟกานิสถานตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เราจะเห็นว่าประเทศอัฟกานิสถาน ในสมัยก่อนนั้นรุ่งเรืองมาก จนถึงขีดสุดในยุคของจักรวรรดิเปอร์เซีย อีกทั้งทำการค้าตามประเทศหรือจักรวรรดิต่างๆ และได้แผ่ขยายอาณาจักรจนยิ่งใหญ่สืบมา แต่แล้วเมื่อจักรวรรดิเปอร์เซียต้องถึงคราวล่มสลาย โดยฝีมือของอเล็กซานเดอร์มหาราช ก็ได้รับอารยธรรมจากจักรวรรดิกรีกที่เข้ามายังเปอร์เซียในขณะนั้นเรื่อยมา ทั้งอารยธรรมและประติมากรรม ในสมัยที่กรีกเรืองอำนาจนั้น ก็ได้มีชนชาวต่างชาติจากประเทศต่างๆ ได้เข้ามาอาศัย ทำการค้าขายแล้วก็ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่ไหนประเทศอัฟกานิสถาน
ซึ่งในตอนนั้นอัฟกานิสถาน ยังไม่ใช่รัฐอิสลามอย่างสมบูรณ์ แต่ต่อมาเมื่อถึงคราวที่จักรวรรดิกรีกล่มสลาย ประเทศอัฟกานิสถานก็ยังปกครองตัวเองเรื่อยมา แต่แล้วก็ได้มีชนชาวมุสลิมจากประเทศอิรักเข้ามาตั้งรกรากถิ่นฐานและนำเอาศาสนาอิสลามเข้ามาในประเทศ และได้ทำการเผยแพร่ศาสนาอิสลามอย่างจริงจัง ถึงขั้นได้ขับไล่ชนชาวต่างชาติต่างๆ ออกไปจนหมดสิ้น จึงทำให้ประเทศอัฟกานิสถานได้นับถือศาสนาอิสลามกันทั้งประเทศนับแต่นั้น
ศาสนาอิสลามนั้นมีบทบาทสำคัญต่อประเทศอัฟกานิสถานเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่เนื่องจากประเทศอัฟกานิสถานได้มีชนกลุ่มต่างๆอยู่จำนวนมาก ความเห็นที่ไม่ลงรอยต่อรัฐบาลในระบอบกษัตริย์ในสมัยนั้น จึงถูกทำการรัฐประหารโค่นล้มลง แล้วเปลี่ยนเป็นพรรคคอมมิวนิสต์ โดยได้ความร่วมมือจากโซเวียตให้การสนับสนุน
จากการเปลี่ยนแปลงนี้ จึงทำให้ศาสนาอิสลามไม่ได้รับความเห็นด้วย และมีกฎข้อห้ามมากมายเกี่ยวกับศาสนาอิสลาม สร้างความไม่พอใจต่อชาวมุสลิมจำนวนมาก จึงได้มีการต่อต้านจากกลุ่มมุสลิมต่าง ๆ กลุ่มที่มีบทบาทสำคัญในการต่อต้านโซเวียตคือกลุ่มมูจาฮีดีน หรือ นักรบศาสนา ที่เรารู้จักกัน
กลุ่มมูจาฮีดีนได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มชาติตะวันตก และกลุ่มมุสลิมทั่วโลกก็ได้ให้การสนับสนุนด้วย ทั้งกำลังรบและยุทโธปกรณ์ จึงทำให้กลุ่มมูจาฮีดีนทำการบุกยึดรัฐบาลได้สำเร็จและโค่นล้มระบอบคอมมิวนิสต์ลง แล้วหันมาใช้ระบบประธานาธิบดีแทน
แต่เมื่อในประเทศอัฟกานิสถานนั้น ได้มีศาสนาอิสลามอยู่ 2 นิกาย คือนิกายสุหนี่กับชีอะห์ ซึ่ง 2 นิกายนี้จะไม่ค่อยลงรอยกันในประเทศอัฟกานิสถาน จึงทำให้มีกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยแยกตัวออกมาจากกลุ่มมูจาฮีดีน แล้วได้มาตั้งกลุ่มใหม่ ที่ชื่อว่าอัลกออิดะห์ หรือ ตาลีบัน
โดยกลุ่มตาลีบันนั้น ได้ใช้หลักศาสนาอิสลามสมัยเก่า ซึ่งมีการลิดรอนสิทธิมนุษยชนและสิทธิสตรีอย่างรุนแรง การที่ไม่ให้มีการศึกษาหรือเผยแพร่ศาสนาอื่นภายในประเทศ ด้วยความเชื่อแบบสุดโต่งทำให้ประชาชนเดือดร้อนทั่วทั้งประเทศลุกลามเป็นวงกว้าง จึงทำให้ชาวต่างชาติหรือประเทศอื่นๆ เรียกกลุ่มตาลีบันว่าเป็นกลุ่มผู้ก่อการร้ายโดยปริยาย
กลุ่มตาลีบันนั้นได้ทำการระเบิดตึกเวิลด์เทรดของสหรัฐอเมริกา จึงทำให้เป็นชนวนสงครามที่ทำให้สหรัฐอเมริกาบุกเข้าโจมตีประเทศอัฟกานิสถาน และได้ยึดครองประเทศอัฟกานิสถานคืนมาจากกลุ่มตาลีบันสำเร็จ แล้วได้มีการก่อตั้งรัฐบาลผสมขึ้นมาใหม่ ภายใต้การดูแลของสหรัฐอเมริกา
สหรัฐอเมริกานั้นได้ให้ความช่วยเหลือทั้งกำลังทหารและทางเศรษฐกิจ แต่ก็สร้างความไม่พอใจกับชาวมุสลิมอีกหลายกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับการดูแลของสหรัฐฯ เพราะพวกเขาคิดว่าการเข้ามาของสหรัฐฯคือการรุกรานนั่นเอง
สหรัฐอเมริกาอยู่ในประเทศอัฟกานิสถาน เป็นระยะเวลา 20 ปี แต่แล้วก็ได้ถอนกำลังทหารออกไปไม่นานนัก จึงทำให้ถูกกลุ่มตาลีบันที่กระจัดกระจายกันอยู่ได้รวมตัวกันเข้ามาบุกรุกและโค่นล้มรัฐบาลอัฟกานิสถาน ที่ถูกแต่งตั้งจากสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ มันจึงทำให้ประเทศอัฟกานิสถานโดยรวมนั้น ไม่มีความแน่นอนหรือสงบนิ่งภายในประเทศเลย มีการสู้รบระหว่างฝ่ายกบฏกับฝ่ายรัฐบาลอย่างต่อเนื่องเรื่อยมา ส่งผลให้ผู้ที่รับเคราะห์หนักที่สุดก็คือประชาชนทั่วไปนั่นเอง
ทำให้ประชาชนจำนวนมากในอัฟกานิสถาน ได้ขอลี้ภัยมายังประเทศต่างๆโดยรอบ การเป็นอยู่ที่แร้นแค้นของประชาชน ที่อยู่ภายใต้ไฟสงครามภายในประเทศ ทำให้ประเทศอัฟกานิสถานกลายเป็นประเทศที่มีแต่ภัยสงครามมาจนถึงปัจจุบันนี้ ทั้งที่ความจริงแล้ว ประเทศอัฟกานิสถานมีภูมิทัศน์ที่สวยงามอีกทั้งโบราณสถานที่สำคัญตามเมืองต่างๆ
ภายในประเทศอัฟกานิสถานมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน มีสถาปัตยกรรมที่สวยงามอีกมากมายเหมาะแก่การมาเที่ยวของชาวต่างชาติ มันจะสร้างรายได้ และเม็ดเงินมหาศาลเข้ามาในประเทศ เป็นอย่างมาก
แต่แล้วด้วยความไม่สงบภายในประเทศที่มีนั้น ทำให้สิ่งที่สวยงามต่างๆในอัฟกานิสถานถูกลบเลือนไปจากคนทั้งโลก จากจุดสูงสุดที่ประเทศอัฟกานิสถานเคยเป็นแต่ก่อน ในปัจจุบันนี้ถึงจุดที่ต่ำสุดในของประเทศอัฟกานิสถาน ไม่มีใครรู้จะอีกนานเท่าใด ความสงบสุขภายในประเทศอัฟกานิสถานที่เคยมี จะกลับมาอีกครั้ง มาแทนที่ความรุนแรงและโหดร้ายของไฟสงคราม บทสรุปนี้ไม่อาจรู้ได้ นอกเสียจากสิ่งที่คนภายในประเทศอัฟกานิสถานนับถือคือ องค์อัลเลาะห์ เท่านั้นที่รู้…..
5 ภาพอดีตที่เคยรุ่งเรืองของประเทศอัฟกานิสถาน
5 ภาพความสวยงามจากประเทศอัฟกานิสถาน
…หากไร้ซึ่งสงคราม อัฟกานิสถาน จะกลายเป็นดินแดนในฝันของใครหลายคน…
# ย้อนอดีตประเทศอัฟกานิสถาน ที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง จนถูกขานนามว่า “ไข่มุกแห่งเอเชีย”
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ quotesaboutsmile