คุก(อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ)
บทนำ
ชีวิตก็เหมือนกับละครเรื่องหนึ่ง แตกต่างกันไป ละครชีวิตของใครหลายคนอาจสมหวังและอีกใครหลายคนอาจผิดหวัง ไม่มีบทพูดที่ต้องแสดง ไม่มีสคริปให้จำ ไม่มีผู้กำกับมาคอยบอกเหมือนกับละครในTV ทุกอย่างเราเปนคนกำหนดเอง จะทุกข์หรือจะสุข มีทั้งสมหวัง และผิดหวังปนเปกันไป มันคือรสชาติของชีวิต ชีวิตที่เรากำหนดเอง มันจะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวเราทำ ชีวิตมันจะขึ้นสูงหรือลงต่ำอยู่ที่เราจะทำตัว ก็เหมือนกับชีวิตของผมที่จะเล่าให้ฟัง มันเป็นเรื่องจริงที่ผมได้กระทำมา ผมอยากให้เรื่องของผมเป็นอุทาหรณ์สอนใจใครได้หลายๆคน สิ่งไหนที่ท่านคิดว่าดีก็เก็บเอาไว้ สิ่งไหนที่ไม่ดีท่านก็ทิ้งมันไป และผมก็คิดว่า เรื่องราวที่ผมจะเราต่อไปนี้ มันจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับใครหลายๆคน…จากใจ “หมีขาว ขั้ว โลกเหนือ”
บทที่ 1…(บ้าน)
วัน..นี้ดูเป็นเช้าที่สดใสมากกว่าหลายๆวันที่ผ่านมา ฝนหยุดตกแล้ว หลังจากที่ตกติดต่อกันมาหลายวัน คำว่า ฟ้าหลังฝนย่อมสวยงามเสมอ มันคือเรื่องจริง ที่ไม่ใช่แค่คำพูดไว้ค่อยให้กำลังใจ ใครหลายคนเท่านั้น หลังจากที่ผมปล่อยใจไปกับบรรยากาศรอบตัว ก็มีเสียงเสียงหนึ่งเรียกชื่อผม นาย………ครับผมตอบ
แล้วก็รีบลุกขึ้นยืนเดินไปตามเสียงนั้น หวังว่าคราวนี้ พี่คงจะไม่ได้เห็นเอ็งในนี้อีกนะ ใช่ครับ ครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผู้คุมได้พูดกับผม ผมผยักหน้าตอบแล้วก็ยิ้ม และแล้ว ประตูเรือนจำสีเทาบานใหญ่ ซึ่งเป็นประตูด่านสุดท้ายของเรือนจำแห่งนี้ ซึ่งมีไว้คุมขังเหล่าบรรดานักโทษทั้งชายและหญิงได้เปิดออก ให้เหล่าบรรดานักโทษ หรือ นช.คำนำหน้าที่ใช้กัน ในเรือนจำ ก็แล้วแต่โทษที่โดนตัดสินมา ว่ากี่ปีกี่เดือน ซึ่งตัวผมเองก็เช่นกัน 4ปี6เดือน กับคดีมีเมทแอมเฟตามีนไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย วันนี้เป็นวันปล่อยตัวของผม หมดเวลาที่ผมจะใช้คำนำหน้าตัวเองว่า นช.สักที และได้กลับมาใช้คำนำหน้าตัวเองว่านาย เหมือนกับคนธรรมดาอีกครั้ง
3รอบนับตั้งแต่ที่ผมมีอายุได้21ปี จนถึงตอนนี้35ปีแล้ว จากวัยรุ่นผ่านพ้นมาถึงตอนนี้ เขาเรียกกันว่าวัยอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เอาเป็นว่า 14ปีที่ผ่านมาชีวิตของผม ได้เดินเข้าและเดินออกจากเรือนจำหรือ คุก ที่คนทั่วไปมักเรียกติดปากกัน และแล้ว พอขาก้าวสุดท้ายของผมผ่านพ้นประตูเรือนจำไป บรรยากาศภายนอกเรือนจำ มันช่างแตกต่างจากข้างในเรือนจำโดยสิ้นเชิง ทัังที่มีแค่กำแพงเสริมใยเหล็กสีขาวที่ยาวไปตลอดแนวเรือนจำกันเอาไว้เท่านั้น แต่ทำไม มันช่างดูแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บรรยากาศภายในเรือนจำนั้น ดูหม่นหมอง หดหู่ แออัด และ สิ้นหวัง
ใช้ชีวิตให้มันผ่านไปพ้นไป ไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ตัองคิดถึง มันเป็นบรรยากาศภายในคุกที่ผมได้สัมผัสมา แตกต่างจากตอนนี้ ผมยืนอยู่ภายนอกคุกแล้ว บรรยากาศมันช่างสดชื่นแจ่มใส ปลอดโปร่ง หัวสมองของผมมันปลอดโปร่งมากที่สุด ทำให้ผมรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง
ผมยืนมองดูพวกเพื่อนๆที่ได้ปล่อยตัวพร้อมกับผม ต่างมีบรรดาญาติพี่น้อง พ่อและแม่ บางคนก็ลูกเมีย มายืนรอคนที่ตัวเองรักกลับบ้าน ผมเห็นทั้งรอยยิ้ม และ เสียงหัวเราะ ที่ปนเปไปด้วยรอยน้ำตาของความดีใจ ของพวกเขาเหล่านั้น มันได้ทำให้ผมมีความรู้สึกอิจฉาขึ้นมาในใจลึกๆของผม มันคงเป็นอาการน้อยใจที่เกิดขึ้นกับผม ผมคิด” แต่สิ่งต่างๆที่เกิดในตอนนี้ มันก็สามารถทำให้ผมยิ้มขึ้นมาได้ และ ผมก็ร่วมยินดีและก็ร่วมดีใจกับเพื่อนๆอยู่ในใจ เพียงลำพัง แตกต่างจากตัวผม ภาพข้างหน้ามันว่างเปล่า เงียบและเหงา.. มีเพียงแค่หมาตัวเมียสีดำตัวหนึ่ง นอนให้นมลูกของมันซึ่งมันก็นอนมองมาทางผมพอดี มันคงสงสัยที่เห็นตัวผมในตอนนี้ ยืนอยู่แบบนี้ไม่ขยับไปไหนตั้งนาน ผมคิด”และแล้วผมก็ยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับก้าวเดินไปข้างหน้าออกจากบริเวณเรือนจำ
โดยที่ผมไม่แม้แต่จะหันกลับมามองสถานที่ ที่ซึ่งผมอยู่อาศัยมาเป็นเวลาหลายปี ไว้ข้างหลังเพียงลำพัง แต่แล้วทำไมความอ้างว้างมันยังเกาะกุมภายในหัวใจของผมไม่ไปไหนสักที “นี่มึง จะอยู่กับกูไปอีกนานแค่ไหนกัน ผมคิด” แต่ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับตัวผม ในช่วงที่ผ่านมาถึงมันจะดูแย่และหนักหนาแค่ไหน ผมก็ไม่เคยที่จะไม่คิดมีชีวิตอยู่เลย ผมมักจะปลอบใจตัวเองอยู่เสมอว่า ผมยังดีกว่าใครอีกหลายๆคน ผมมีทั้งพ่อและแม่ และก็น้องอีกสองคนที่เป็นครอบครัวของผม และอีกทั้ง ลุง ป้า น้า อา ญาติๆทั้งฝั่งพ่อของผม และฝั่งแม่ของผม ซึ่งตัวผมเองก็สนิทสนมกันเป็นอย่างดี
ทุกคนไม่เคยทอดทิ้งผมเลย ถึงแม้ผมจะเป็นคนประเภทนี้ ประเภทที่สังคมภายนอกต่างตราหน้ากันว่า “ไอ้ขี้คุก” แต่ทุกคนก็ต่างยังยืนอยู่ข้างผม ต่างยังเชื่ออยู่เสมอว่าผมจะกลับตัวได้คิดได้สักที ถ้าผมลองมองย้อนกลับไปดูตัวเอง ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวผม มันก็คือสิ่งที่ผมทำตัวผมเองทั้งนั้น มันไม่เกี่ยวกับใครเลยที่เป็นคนทำให้เกิดขึ้น จะมาคิดว่าตัวเราขาดความอบอุ่น มันก็ไม่น่าใช่ ครอบครัวเราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรถึงขนาดนั้น เพราะครอบครัวยากจน ขัดสน ลำบาก มันก็ไม่ใช่ และอะไรละที่มันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ และคำตอบที่ผมคิดได้ในตอนนั้นก็คือ
ตัวผมเองทั้งนั้นที่เป็นคนทำให้มันเกิดขึ้น เป็นผมเองที่ทำให้พ่อกับแม่เสียน้ำตาไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่มันหลายครั้ง หลายครั้งซะจนผมเองก็จำไม่ได้ ผมนึกในใจ นี้ผมได้ทำคนที่ผมรักและเคารพมากที่สุดในชีวิต และ เขาก็รักผมมากที่สุดเหมือนกัน ต้องเสียใจมากขนาดไหนกันนะ และผมต้องเสียอะไรอีกนะ เสีย อนาคตของตัวผมเอง มันเป็นการสูญเสียที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผมโดยสิ้นเชิง และต้องมาเสียใจกับการสูญเสียญาติผู้ใหญ่ที่ผมทั้งเคารพและรัก
พวกท่านเป็นคนที่เลี้ยงดูผมมาในตอนเด็ก คอยอบรมและสั่งสอนผม คอยเข้มงวดกวดขันการเรียนของผม คอยเอาใจใส่เพื่อที่จะได้เห็นผมได้ดีในอนาคต โดยที่ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ไม่แม้แต่จะไปเคารพศพพวกท่าน ผมก็ทำไม่ได้ “ช่างเป็นหลานที่เณรคุณจริงๆ ผมคิด” มันดูเยอะและมากมายเหลือเกินกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผม ผมลองหลับตา และนึกย้อนเข้าไปในอดีตของผม นึกย้อนลึกลงไปในใจ พยามดึงภาพจำเก่าๆที่ผม เก็บเอาไว้ในใจเป็นความทรงจำขึ้นมา ว่ามันเกิดอะไรขึ้นในชีวิตของผม และมันได้ผ่านอะไรมาบ้าง
จนเวลามันได้ล่วงเลยมาถึงปัจุบันนี้ ผมได้มีอายุ35ปีแล้ว แต่ชีวิตผมก็ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลย และแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงพูดที่ดังขึ้นในใจของผมว่า “พอได้แล้ว” มันเป็นเพียงแค่ สาม คำสั้นๆ ที่ใครหลายคน คงไม่คิดว่ามันจะสำคัญและมีความหมายอะไร แต่กับผมความหมายของสามคำนั้น มันช่างมากมายเหลือเกิน…แล้วในเวลาไม่นาน ผมก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปาก และแล้ว ความอ้างว้างที่เกาะอยู่ในใจของผมค่อยๆจางลงไป ถึงแม้มันยังไม่หายไปหมดก็ตาม มันก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากกว่าที่ผ่านมา มันให้ความรู้สึกที่แจ่มใสมีชีวิตชีวามากขึ้น ผมก็เลยรีบเรียกมอไซย์วินรับจ้างคันหนึ่งให้ไปส่งผมที่ “บ้าน” สถานที่ ที่ผมนั้นโหยหาและคิดถึงมาตลอดเป็นเวลาเกือบ4ปี “ได้กลับบ้านสักทีนะ ผมคิดในใจ”……
20นาทีพอประมาณ มอไซย์สองล้อก็ได้จอดตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง เป็นเทาว์เฮาว์สองชั้นที่เห็นกันตามหมู่บ้านทั่วๆไป ที่มีมากมายอยู่ในตัวเมืองที่ผมอาศัยอยู่ “ถึงบ้านสักที ผมคิดในใจ “ผมได้ยืนอยู่ที่หน้าบ้านตัวเองอีกครั้ง ผมเงยหน้ามองบ้าน บ้านที่ผมไม่ได้อยู่อาศัยเป็นเวลาหลายปี มันก็ยังดูเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไปเลย
ยังตั้งตะหง่านสู้แดดสู้ฝนอยู่แบบนี้มาปีแล้วปีเล่า “มันคงรอคอยการกับมาของผมอยู่ใช่ไหม ผมคิด” ผมก็เลยพูดขึ้นมาเบาๆว่ากลับมาแล้วนะ กลับมาบ้านแล้วนะ…และแล้วประตูบ้านก็ได้เปิดออกมาโดยพ่อของผม” สวัสดีครับพ่อ”ผมบอกกับท่าน มีเพียงการพยักหน้าและส่งยิ้มของพ่อที่ส่งมาให้กับผม ไม่มีการต้อนรับใดๆไม่มีการแสดงดวามยินดีหรือดีใจ ที่เห็นผมได้กลับบ้าน “เหมือนเดิม” ทุกอย่างมันช่างดูปรกติเหลือเกิน มันเหมือนกับว่าผมพึ้งออกจากบ้านไปได้ไม่นาน แล้วก็กลับมาบ้าน”ไม่เป็นไร” ผมบอกตัวเองอยู่ในใจ มันไม่เป็นอะไรจริงๆสำหรับตัวผม
ผมไม่ใช่ผู้ชายที่อ่อนไหวขนาดนั้น ที่จะต้องมาคอยให้ใครๆมาสนใจและใส่ใจให้มันมากมาย หรือจะต้องมาคอยแสดงความรักให้อยู่ตลอดเวลา”สวัสดีครับแม่” แม่นั่งอยู่บนโซฟาตัวโปรดพยักหน้ารับเบาๆ”น้องไปไหน” ผมถาม “ก็ไปขายของที่ตลาดตอนเย็นน้องบอกว่าจะพาไปกินข้าว” แม่บอกกลับผม ผมพยักหน้าตอบ ก่อนที่จะเดินขึ้นห้องของผม เสียงของพ่อได้พูดขึ้นมาว่า”พอได้แล้วนะลูก เลิกซักทีนะ” แม่บอกขึ้นมาอีกคน เป็นคำพูดของบุพการีทั้งสองที่บอกกับผม และท่านบอกอีกว่าท่านอายุมากแล้ว
คงจะไปเยี่ยมผมอีกไม่ไหวถ้าผมจะต้องเข้าไปในคุกอีก และมันก็คือเรื่องจริงที่ท่านบอกแบบนั้น ถ้าผมไม่มีพ่อและแม่ผมก็คงจะไม่มีใครที่จะมาคอยไปเยี่ยมและฝากเงินให้ผมใช้อยู่ทุกๆเดือน เป็นเวลาเกือบ4ปีเต็มที่อยู่ในนั้น และแล้วก็มีคำพูดของพ่อผมประโยคหนึ่ง ที่เคยพูดกับผมตอนมาเยี่ยมผมดังขึ้นมาในหัวผมว่า”ลูก..ยังไงก็คือลูกจะดีจะชั่วเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่ลูกเรา ยังไงก็ต้องดูแลกันไปจนกว่าใครจะไป(ตาย)ก่อนกัน” พอนึกได้เท่านั้น…..
น้ำตาของผมมันได้ไหลออกมาอย่างมากมายเหลือเกิน ใช้แล้วตอนนี้ผมรู้สึกอ่อนแอเหลือเกิน ผมแกล้งทำตัวเองให้เข้มแข็งให้เหมือนกับว่าผมไม่เป็นไรผม ok.อีกไม่ไหวแล้ว ผมหันหน้ามาหาพวกท่านทั้งสองทั้งที่น้ำตาอาบสองแก้ม รีบเดินไปแล้วผมก้บรรจงก้มลงกราบเท้าของพวกท่านทั้งสองแล้วผมก็ได้พูดว่า”ผมขอโทษ…พอแล้วครับผมจะไม่ทำอีกแล้วครับ” ไม่มีคำพูดใดๆออกมาจากปากของพวกท่านทั้งสอง มีเพียงแต่สองมือของท่านทั้งสองที่มันทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย บรรจงลูบลงบนศรีษะของผมอย่างอ่อนโยน
เพียงเท่านี้ ตัวผมก็ได้รับรู้ถึงความรักความห่วงใย ที่ท่านทั้งสองมีให้ผมเสมอมา “ผมอยากบอกคุณผู้อ่านว่า ไม่มี พ่อ แม่ คนไหนไม่รักลูกหรอกครับ มันขึ้นอยู่ที่การแสดงออกของ พ่อแม่ ของแต่ละคนมากกว่า แต่สำหรับผมแค่ที่ท่านทำก็พอแล้ว มันคงถึงเวลาสักที ที่เราๆทั้งหลายทดแทนบุญคุณของพวกท่าน
คอยดูแลเอาใจใส่ท่านทั้งสองให้เหมือนกับที่ท่านดูแลเรา ทำให้สมกับคนที่ขึ้นชื่อว่าลูกควรจะทำ จงทำมันเถอะครับ การกตัญญููรู้คุณพ่อแม่เป็นสิ่งที่ลูกๆควรจะทำ พ่อแม่ ท่านไม่ต้องการอะไรมากหรอกครับ โทรหาท่านบ้าง ถามสาระทุกข์สุขดิบ พาท่านไปกินข้าวบ้างเป็นบางครั้งแค่นี้ท่านก็มีความสุขแล้ว…..
อย่าปล่อยเวลาให้คำว่ากว่าจะคิดได้มันก็สายไปเกิดขึ้นกับตัวคุณๆผู้อ่านเลยนะครับ...เงินทองอาจซื้อได้กับทุกสิ่ง แต่สิ่งหนึ่งที่เงินทองไม่สามารถซื้อได้คือเวลา คนเรามีเวลาแค่สามวันเท่านั้นในชีวิตคือ เวลาของเมื่อวานนี้ เวลาของวันนี้ และเวลาของวันพรุ่งนี้” แค่นี้จริงๆ เวลามันมีน้อยใช่ไหมครับคุณผู้อ่าน..จบบทที่1 “หมีขาว ขั่ว โลกเหนือ”
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending