ราชันย์แห่งภูต โทคาเงโร่ (Tokagero)
เกิด 14 พฤศจิกายน ค.ศ.1374
อายุ 35 ปี (ตอนเสียชีวิต)
ราศี พิจิก กรุ๊ปเลือด AB
เป็นวิญญาณประจำตัวของ อุเมมิยะ ริวโนะสุเกะ
โทคาเงโร่ เป็นวิญญาณประจำตัวของ อุเมมิยะ ริวโนะสุเกะหรือดาบไม้ริว มีนิสัยที่ค่อนข้างเหมือนกับริวเป็นอย่างมาก คือนิสัยมุทะลุ ดุดัน ไม่ค่อยยอมใคร แต่ต่างกันตรงที่ริวนั้นรักพวกพ้องเป็นอย่างมาก ซึ่งไม่เหมือนโทคาเงโร่ที่เน้นการสั่งการและบังคับพวกพ้อง แต่หลังจากได้มาเป็นวิญญาณประจำตัวของริวแล้ว นิสัยของโทคาเงโร่ก็เริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เขาเริ่มเปิดใจและยอมรับพวกพ้องคนอื่นๆมากขึ้น
ในอดีตโทคาเงโร่เคยเป็นจอมโจรที่มีชื่อเสียงอย่างมาก และยังมีนิสัยโหดเหี้ยม เปรียบเสมือนปีศาจที่มอบฝันร้ายให้กับผู้คนในยุค ในภายหลังได้ถูกอามิดามารุสังหาร เป็นอันปิดตำนานมหาโจรผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อตายกลายเป็นวิญญาณทำให้โทคาเงโร่ เคียดแค้นอามิดามารุเป็นอย่างมาก เขาได้เฝ้ารอที่จะแก้แค้นโดยไม่ยอมไปผุดไปเกิด วันเวลาผ่านไปจนได้บังเอิญมาพบเข้ากับริวที่กำลังเป็นทุกข์ เมื่อเคมีสามารถเข้ากันได้โทคาเงโร่จึงได้ทำการสิงริวเพื่อทำการแก้แค้น แต่ต่อมาได้โยเข้ามาช่วยจนสามารถทำให้โทคาเงโร่เปิดใจ ยอมรับและทำให้ความแค้นที่มีมาอย่างยาวนานสิ้นสุดลงไปในที่สุด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้มีความแค้นและพร้อมจะเดินไปข้างหน้า เพื่อทำบางสิ่งเพื่อผู้อื่น อีกครั้ง…
ประวัติอดีต (เมื่อยังมีชีวิต)
โทคาเงโร่ มีชีวิตในวัยเด็กที่ค่อนข้างลำบาก เขาเกิดมาในยุคมุโระมาจิ ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นมีความวุ่นวายเป็นอย่างมาก สงครามน้อยใหญ่และการแย่งชิงกันในหมู่ขุนนาง ทวีความรุนแรงเป็นอย่างมาก บ้านเมืองต่างทรุดโทรม ข้าวยากหมากแพง ความอดอยากแร้นแค้นแพร่กระจายเป็นวงกว้าง ในแต่ละวันต่างมีผู้คนอดอยากและเสียชีวิตด้วยความหิวเป็นจำนวนมาก โทคาเงโร่เองก็ไม่ต่างจากคนเหล่านั้นสักเท่าไหร่ เขาต้องใช้ชีวิตด้วยความอดหยากกับผู้เป็นแม่อยู่กันสองคน ในตอนนั้นเป็นหน้าหนาวที่โหดร้าย ไม่มีแม้แต่ข้าวสักเม็ดไว้ให้กิน โทคาเงโร่ในวัยเด็กที่อดข้าวมาหลายวันกำลังจะตายเพราะความหิว แต่เขาก็รอดมาได้ด้วยการเสียสละของแม่ของตน ที่ยอมสละร่างกายตัวเองเพื่อเป็นอาหารให้ลูกตัวเองมีชีวิตรอดต่อไป
แรกเริ่มเธอได้เสียสละแขน ต่อมาก็ขา และร่างกายทั้งหมดแก่ลูกของเธอโทคาเงโร่ โดยหวังให้เขามีชีวิตรอดต่อไป ถึงโทคาเงโร่ยังเป็นเด็ก แต่เขาก็รู้ได้ดีว่าแม่ของตนยอมสละร่างกายของตัวเองเพื่อเขา ซึ่งการเสียสละครั้งใหญ่นี้ของแม่ของเขา ก็ได้ทำให้โทคาเงโร่มีชีวิตรอดจนพ้นฤดูหนาวมาได้ เขาหน้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปด้วยความรักที่แม่เสียสละให้ตนอย่างดี แต่กลับกัน เขากับโทษว่าโลกนี้นั้นโหดร้าย แย่งชิงทุกอย่างไปจากเขา และโทษตัวเองอีกว่าเป็นเพราะตัวเองอ่อนแอ แม่ของเขาจึงต้องตาย เขาจึงสัญญากับตัวเองว่า ในเมื่อโชคชะตาพรากทุกอย่างไปจากเขาแล้ว ฉะนั้นเขาจะฝืนชะตาชีวิตตัวเองและเป็นผู้พรากสิ่งต่างๆจากผู้อื่นบ้าง ให้ผู้อื่นได้ลิ้มรสชาติการถูกพรากแบบที่เขาได้รับ และเมื่อเขาโตขึ้น ความเคียดแค้นนี้ก็ไม่เคยจางไปไหน โทคาเงโร่ได้เติบโตและเริ่มสร้างกลุ่มโจรของตัวเองขึ้นมา
นานวันเข้า ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังขึ้น ความน่ากลัวและความโหดร้ายของเขาก็เลื่องลือ ในเวลานั้นเป็นยุคสงคราม เหล่ากองทหารและกองกำลังจากเมืองหรือแคว้นต่างๆ ต่างกำลังยุ่งเกี่ยวกับการทำศึก จึงไม่มีเวลามาส่งกองกำลังเพื่อมาปราบปราม กองโจรต่างๆได้ ในตอนนี้จึงไม่มีใครหยุดกองโจรของโทคาเงโร่ได้เลย นานวันเข้ากองโจรของโทคาเงโร่ก็ใหญ่ขึ้น จนไม่มีใครสามารถที่จะหยุดพวกเขาได้เลยในเวลานั้น
หลังจากที่กลุ่มกองโจรโทคาเงโร่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนมาเป็นเวลานาน ในวันหนึ่ง ได้มีซามูไรหนุ่มนิรนามคนหนึ่งได้เดินทางผ่านมา เพื่อที่จะกำราบกลุ่มโจรของโทคาเงโร่ในเวลานี้ ซึ่งเรื่องนี้ในทีแรกทำให้โทคาเงโร่รู้สึกขำขันเป็นอย่างมาก ที่ซามูไรหนุ่มนิรนามมาแค่คนเดียว ช่างเป็นซามูไรที่กล้าบ้าบิ่นหรือไม่ก็โง่มาก ที่มาคนเดียวเพื่อหวังกำจัดตน แต่ไม่นานโทคาเงโร่ก็เข้าใจแล้วว่า ซามูไรหนุ่มคนนี้นั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ฝีมือในการใช้ดาบของเขาเป็นเลิศเหนือกว่าลูกน้องฝีมือดีของตนอีกเป็นไหนๆ ลูกน้องที่แข็งแกร่งของเขา คนแล้วคนเล่าต่างถูกสังหารไปเป็นว่าเล่นอย่างกับใบไม้ร่วง
ในเวลานี้ เขาที่เป็นจอมโจรมานานที่คอยสร้างฝันร้ายให้กับผู้คนเสมอ ตอนนี้กับรู้สึกถึงความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่ด้วยนิสัยที่ไม่เคยกลัวของโทคาเงโร่ จึงทำให้เขาไม่ยอมหนี เขาได้ใช้พลังทั้งหมดของตนเข้าต่อสู้กับซามูไรหนุ่มนิรนามคนนั้น เพียงปะดาบกันไม่กี่กระบนท่า โทคาเงโร่มหาโจรที่ยิ่งใหญ่ก็ถูกสังหารลงอย่างรวดเร็ว เป็นอันปิดตำนานของมหาโจรที่ชื่อโทคาเงโร่ลง หลังจากที่เขาตายแล้วนั้น วิญญาณของเขาไม่ได้หายไป หรือไปสู่สุขคติแต่อย่างใด เขาได้แต่เฝ้ารอที่จะล้างแค้นซามูไรหนุ่มคนนั้นไม่ไปไหน และในตอนนี้เอง เขาก็รู้ชื่อของซามูไรคนนั้นแล้วว่าชื่อ อามิดามารุ โทคาเงโร่จึงสัญญากับตัวเองอีกครั้ง ต่อให้เขาตายไปแล้วแต่เขาก็จะล้างแค้น อามิดามารุให้ได้ การรอคอยเพื่อจะล้างแค้นของเขาก็ได้เริ่มขึ้น..
ปัจจุบัน (หลังเสียชีวิต)
หลังจากที่เสียชีวิตไปแล้ว โทคาเงโร่ก็เฝ้ารอที่จะล้างแค้นอามิดามารุอยู่อย่างไม่ลดละ จนเวลาร่วงเลยผ่านมากว่า600ปี ความแค้นนี้ของเขาก็ไม่เคยหายไปไหน เขายังเฝ้ารอโอกาสที่จะล้างแค้นนี้ ถึงแม้โทคาเงโร่จะรู้แล้วว่า อามิดามารุซามูไรหนุ่มคนนั้นที่ฆ่าเขาจะเสียชีวิตเหมือนตนไปนานแล้ว แต่เขาก็ไม่คิดที่จะไปล้างแค้นวิญญาณอามิดามารุ เพราะสำหรับโทคาเงโร่แล้วการต่อสู้ของวิญญาณด้วยกัน มันไม่สามารถตอบสนองความต้องการล้างแค้นของตนได้ ถ้าไม่ได้ฟันอามิดามารุในร่างมนุษย์จริงๆ ก็ไม่ถือว่าเขาได้ล้างแค้นแล้วนั่นเอง แต่ตอนนี้ทั้งคู่ต่างเป็นวิญญาณเหมือนกัน จะทำอย่างไหร่ในตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้
แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เขากับพบว่าอามิดามารุ ในเวลานี้ได้เป็นวิญญาณประจำตัวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ใส่เฮดโฟน ที่ชื่อว่าอาซาคุระ โย ที่มีความสามารถในการมองเห็นวิญญาณ และเขาสามารถนำวิญญาณของอามิดามารุมาสิงร่างของตนได้ ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้โทคาเงโร่รู้สึกสนใจและดีใจเป็นอย่างมาก ความคิดที่จะได้ล้างแค้นของเขาในวันนี้ต่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว แต่ถึงจะวางแผนอย่างไร ถ้าไม่สามารถหาคนที่เขาจะใช้เพื่อเป็นร่างได้ก็ไม่มีความหมาย
ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ในเวลานี้ เด็กหนุ่มคนนี้ต่างเสียใจ ร้องไห้เป็นอย่างมาก พลังชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ต่ำกว่ามาตราฐานของมนุษย์ที่มีชีวิตทั่วไป ทำให้เขาสามารถที่จะสิงร่างของคนนี้ได้อยางง่ายดาย และเมื่อได้สิงร่างเด็กคนนี้แล้ว เขาถึงรู้ชื่อว่าเด็กหนุ่มคนนี้ชื่อริว เมื่อสิงได้อย่างสมบูรณ์ในตอนนี้แผนการต่างๆ ในการแก้แค้นอามิดามารุ ก็ได้เริ่มขึ้น
โทคาเงโร่นั้นในตอนนี้ได้วางแผนมาเป็นอย่างดี ใช้หลักประกันถึง3อย่างที่ไม่ว่าอย่างไรด้วยนิสัยของอามิดามารุจะต้องยอมให้กับตน หลักประกันนั้นคือ1.ดาบฮารุซาเมะที่เปรียบเหมือนสายสัมพันธ์ของอามิดามารุและโมสุเกะ 2.มันตะเพื่อนสนิทของโยเจ้านายของอามิดามารุ 3.ร่างที่ตนเองสิงอยู่ เพียงเท่านี้โทคาเงโร่ก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถที่จะล้างแค้นอามิดามารุได้อย่างแน่นอน เมื่อเตรียมการพร้อมแล้ว เขาก็ได้พาพวกไปเพื่อแก้แค้น
เมื่อได้เผชิญหน้ากันอีกครั้งหลังจากผ่านมา600ปี ในทีแรก เขาอยากให้อามิดามารุจำได้ว่า ตนนั้นมีความแค้นอะไรกับเขา แต่จนแล้ว จนรอดอามิดามารุก็ยังจำตนไม่ได้ ยิ่งเพิ่มความโกรธให้แก่โทคาเงโร่เป็นอย่างมาก จึงได้ลงมือเพื่อแก้แค้น แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามแผน ขนาดเขามีหลักประกันก็ยังล้มเหลว อามิดามารุสามารถตัดใจและทำลายดาบฮารุซาเมะที่เปรียบเสมือนสายสัมพันธ์ของตนได้อย่างง่ายดาย และลูกน้องของตัวเองที่พามาด้วยก็ทรยศช่วยเหลือมันตะตัวประกันที่2ไปอีก ในเวลานี้โทคาเงโร่ได้ถูกต้อนจนแผนที่เขาวางไว้เริ่มที่จะพังไม่เป็นท่า หรือจะพูดได้ว่าเขากำลังที่จะแพ้ แต่ด้วยความดื้อรั้นที่เป็นทุนเดิมของเขา จึงทำให้โทคาเงโร่ไม่อาจยอมรับความพ่ายแพ้ได้อีกครั้ง เขาจึงขู่และตัดสินใจที่จะจบชีวิตริวร่างที่เขาสิงอยู่ลง โดยไม่ฟังคำเตือนจากแอนนาที่บอกว่าเมื่อริวตายแล้ววิญญาณของโทคาเงโร่ออกมาจากร่างเมื่อไหร่ เธอจะส่งโทคาเงโร่ไปนรก แต่ในตอนนี้ต่อให้เป็นนรกโทคาเงโร่ก็ไม่กลัว เพราะเขาไม่มีอะไรจะเสียหรือถอยได้แล้ว
ทันใดนั้น โยที่เป็นเจ้านายของอามิดามารุ ได้เสนอที่จะให้โทคาเงโร่เข้าสิงตัวเองแทนร่างริว พร้อมทั้งบอกว่าถ้าเป็นร่างเขาจะสามารถอยู่ได้นานกว่าร่างริวอย่างแน่นอน เมื่อได้ยินเช่นนั้น โทคาเงโร่ก็ไม่ลังเลเพราะถ้าได้สิงร่างของโย เขาก็จะสามารถทำการแก้แค้นต่อได้ เขาจึงรีบออกจากร่างริวเพื่อเข้าสิงร่างของโยในทันที เมื่อสิงแล้วในตอนนี้โทคาเงโร่สามารถเข้าสิงร่างโยได้อย่างสมบูรณ์ การแก้แค้นของเขาก็ได้เริ่มขึ้น แต่ก่อนที่เขาจะได้ล้างแค้นนั้น เขากับได้พบว่าแอนนาและคนอื่นๆในตอนนี้ต่างตกใจ โดยเฉพาะแอนนาที่พูดออกมาว่า ไม่น่าเชื่อว่าโยจะยอมให้โทคาเงโร่สิงร่าง เพราะถ้าเป็นโยจะสามารถควบคุมวิญญาณจากข้างในได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
เมื่อโทคาเงโร่ได้ยินแบบนั้น เขาก็เลยรู้สึกสับสนและไม่เข้าใจว่า ทำไมโยถึงยอมให้เขาสิงร่าง แต่พอเขาสิงไปได้ซักพัก โทคาเงโร่ก็เข้าใจได้ในทันทีว่า นี่เป็นความอบอุ่นภายในวิญญาณของโย ได้มอบความอบอุ่นให้กับเขาเป็นอย่างมาก จนเขารู้สึกถึงความอบอุ่นที่เขาลืมไปนาน นั่นคือความอบอุ่นที่แม่ของเขามอบให้เขา และในเวลานี้โทคาเงโร่ก็เข้าใจถึงความรัก ความอบอุ่นที่แม่เขามอบให้ ความหมายนั้น ตอนนี้โทคาเงโร่ก็เข้าใจแล้ว ความแค้นที่มีมาอย่างนานของเขาก็สลายไปในทันที โทคาเงโร่ยอมรับในความพ่ายแพ้ในครั้งนี้อย่างหมดใจ และยอมจากไปแต่โดยดี โดยไม่มีข้อแม้แต่อย่างใด….
การโอเวอร์โซล (over soul)
โทคาเงโร่ เป็นวิญญาณมนุษย์ที่อยู่มานานกว่า600ปี เขาก็เหมือนกับอามิดามารุที่อยู่นานจนวิญญาณของตนกลายเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปในที่สุด ที่เมื่อกลายเป็นวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว พลังวิญญาณของเขาก็มากขึ้น จนแทบไม่แตกต่าง จากวิญญาณธรรมชาติที่บริสุทธ์เลย หลังจากที่เขายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว โทคาเงโร่ได้เดินทางไปถึงปากทางของประตูยมโลก ในเวลานั้นเขาสับสนและรู้สึกโดดเดี่ยวเป็นอย่างมาก จนเกิดความกลัวไม่กล้าจะเดินทางไปยังโลกหน้า เพราะกลัวว่าตนนั้นจะต้องตกนรก โทคาเงโร่จึงได้เดินทางกลับมายังโลกมนุษย์เหมือนเดิม
เมื่อกลับมาถึง ด้วยความที่เขาอยากหาเพื่อนที่สามารถพูดคุยกับเขาได้ เขาจึงได้รีบไปหาริว เพราะโทคาเงโร่คิดว่าริวนั่น ตอนนี้สามารถที่จะพูดคุยกับเขาได้ และเมื่อเจอริวแล้ว พวกเขาก็ได้พูดคุยกันและโทคาเงโร่ก็ได้ขอโทษริวที่เข้าสิง แต่เหมือนกับริวจะไม่ได้สนใจ สำหรับริวแล้วเขาไม่ได้คิดโทษโกรธโทคาเงโร่เลย เมื่อทั้งคู่ได้พูดคุยปรับความเข้าใจกัน ริวจึงได้เสนอว่าเมื่อเขาเป็นชาแมนแล้ว เขาจะให้โทคาเงโร่มาเป็นวิญญาณของตน ซึ่งการพูดนี้ของริวทำให้โทคาเงโร่รู้สึกดีใจและอบอุ่นในเวลาเดียวกัน เขารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าขึ้นมาอีกครั้ง
จนเมื่อริวได้รับการยอมรับจากโยเม(ตาของโย) และได้ทำการฝึกจนเป็นชาแมนสำเร็จ เขาก็ได้เข้าร่วมในศึกชาแมนไฟต์และได้มีโทคาเงโร่เป็นวิญญาณประจำตัว ในตอนนี้ความฝันของเขาก็คือการต่อสู้ไปกับริว และจะทำฝันของริวให้เป็นจริงไปพร้อมๆกัน
การโอเวอร์โซลของโทคาเงโร่ จะทำการโอเวอร์โซลในดาบไม้ขอริวที่ถูกสร้างมาจากไม้ศักดิ์สิทธิ์ ที่จะช่วยเพิ่มพลังและพัฒนาการต่างๆ ของเขารวมถึงท่าต่อสู้มีดั่งนี้
-โทคาเงโร่ โอเวอร์โซลในดาบไม้ของริว หลังจากที่ริวได้ฝึกฝนจนสำเร็จ เป็นโอเวอร์โซลที่ทำให้ริวได้เข้าร่วมศึก และสามารถผ่านการคัดเลือกจากซิลเวอร์ผู้คุมกฎของเผ่าปัจน์-
-โทคาเงโร่ โอเวอร์โซลพัฒนาไปอีกขั้น หลังจากที่ริวผ่านการฝึกฝนสำเร็จ ในคัมภีร์มหาเวทย์โบราณ ท่าโอเวอร์โซลนี้มีชื่อว่า ยามาตะโนโอโรจิ โก-
-โทคาเงโร่ โอเวอร์โซลขั้นสูงสุด หลังจากที่ริวผ่านความเป็นและความตายมา ทำให้เขาพัฒนาพลังวิญญาณขึ้นถึงขีดสุด ทำให้พัฒนาการโอเวอร์โซลมาถึงจุดสูงสุด โดยท่านี้เรียกว่า “ซาซิมิ โบลชัวร์ ซูซาโนโร” (ชื่อท่านี้ของริวได้บอกถึงความฝันในการเป็นพ่อครัว ในการทำซูชิ ของเขานั่นเอง) –
ราชันย์แห่งภูต โทคาเงโร่ (Shaman King)
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending