ย้อนรอยประวัติศาสตร์ดำมืดอันแสนเจ็บปวด ของประเทศที่ปัจจุบันคือเปรียบดั่งประเทศในฝันของใครหลายคน “แคนาดา”
แคนาดา ประเทศหนึ่งที่อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ อยู่บนสุดของประเทศสหรัฐอเมริกา มีดินแดนและพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ปัจจุบันถูกขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่สองของโลก พื้นที่หลายแห่งรวมถึงธรรมชาติที่สมบูรณ์สวยงามและผู้คน พร้อมต้อนรับเหล่านักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกด้วยอ้อมกอดและรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร จึงไม่แปลกที่เมื่อใครหลายคนได้มาสัมผัสกับดินแดนแห่งนี้แล้ว ส่วนมากมักจะตกหลุมรักและอยากที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ กันแทบทั้งนั้น เพราะไม่ใช่แค่ธรรมชาติที่สวยงามและผู้คนที่เป็นมิตร แต่ยังรวมถึงการปกครอง เศรษฐกิจ รัฐสวัสดิการ ที่ขึ้นชื่อว่าดีเยี่ยมที่สุดอีกหนึ่งประเทศของโลก จนถึงขนาดติดหนึ่งใน 10 ประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารชื่อดังหลายสำนัก ถึงแม้จะมีอากาศหนาวเย็นและฤดูหนาวที่ค่อนข้างโหดร้ายอยู่บ้าง แต่ยังไงมนต์ เสน่ห์และความน่าอยู่ ก็ยังทำให้ผู้คนต่างหลงใหลในประเทศนี้กันอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ใครกันบ้างหล่ะ ที่จะรู้ว่าประเทศที่ภายนอกจะดูสวยงาม มีความทันสมัยและความน่าอยู่ รวมถึงมีกฎหมายคุ้มครอง การให้สิทธิเสรีภาพอย่างเท่าเทียมกัน
เปรียบดั่งประเทศในฝันของใครหลายคนกับซ่อนความลับอันดำมืด ที่เป็นเสมือนกับรอยด่างพร้อยที่สุดเท่าที่ประเทศเคยมีมานี่อยู่กันหล่ะ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า ครั้งหนึ่งเมื่ออดีต ประเทศแคนาดานี่กับมีเรื่องอื้อฉาวเกิดขึ้น เรื่องนี่เองเป็นเรื่องที่ใหญ่และสร้างความแตกตื่น รวมถึงความสลดใจให้แก่ผู้ได้ยินเป็นอย่างมาก ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ บาดแผลแห่งความลับนี่ก็ยังคงอยู่กรีดแทงลงไปในหัวใจของเหล่าผู้คนในประเทศแคนาดา พร้อมกับเกิดคำถามมากมาย ว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดเรื่องหน้าหดหู่เช่นนี้ ในประเทศนี่ได้อย่างไร? ซึ่งความลับนี้ถูกเรียกในภายหลังว่า “การสังหารหมู่ทางวัฒนธรรม”
การสังหารหมู่ทางวัฒนธรรม
การสังหารหมู่ทางวัฒนธรรม เป็นหลักการสอนแนวความคิดหนึ่ง จุดมุ่งหมายคือการกลืนกินวัฒนธรรมและชนเผ่าพื้นเมืองดั่งเดิม โดยไม่สนว่า เผ่าพันธุ์นั้นจะมีวัฒนธรรมที่ดีงาม และมีเอกลักษณ์ประจำตัวมากแค่ไหน ก็จะถูกกลืนกินและถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นเหมือนดั่งพวกของตน ที่ถือว่าเป็นผู้ที่เจริญ
การกระทำเหล่านี่ จะใช้การออกกฎหมายต่างๆ มาบังคับใช้ ด้วยการที่รัฐบาลจะอาศัยการใช้คริสตจักรออกหน้า เป็นเหมือนกับเครื่องมือเพื่อช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤิกรรม ด้วยการให้เหล่าเด็กที่มีอายุถึงกำหนดกฎเกณ ต้องเข้ารับการศึกษาในโรงเรียนประจำที่รัฐบาลเป็นคนจัดหามาให้ โดยผ่านการเรียนการสอนของเหล่าบาทหลวง รวมถึงแม่ชีในเครือคริสตจักร เพื่อผลักดันให้เด็กชนพื้นเมือง เลิกใช้ภาษารวมถึงวัฒนธรรมต่างๆ ของตน และที่สำคัญคือ ศาสนาการนับถือของพวกเขาก็จะถูกเปลี่ยนให้มานับถือคริสทั้งหมด
หน้าที่ต่างๆ จึงตกมาเป็นของโรงเรียนประจำ จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแล และเมื่อกฎหมายได้ถูกบังคับใช้ ผู้ปกครองคนไหนไม่ยอมทำตามก็จะถูกลงโทษสถานหนักอยางทันที กฎหมายนี้ถูกออกและบังคับใช้ในยุคสมัยของนายกรัฐมนตรี จอห์น เอ แมคโดนัลด์ นายกคนแรกของประเทศแคนาดา
กลุ่มชนพื้นเมืองแคนาดา(canadian indigenous group)
ในประเทศแคนาดา ประกอบด้วยกลุ่มชนพื้นเมืองอยู่หลายกลุ่ม หลายเผ่าเป็นจำนวนมาก แต่พวกเขาก็มักจะถูกเรียกโดยรวมว่า กลุ่ม “อินเดียน” พื้นเพแล้วชนพื้นเมืองต่างๆ ในแคนาดาเป็นพวกรักสงบ พวกเขาต่างใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งใดๆ กับกลุ่มต่างๆ เลยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา พวกเขาต่างอาศัยอยู่ร่วมกันอย่าสงบสุข มีสิ่งใดก็จะแบ่งปันกันเสมอ ตามหลักคำสอนประจำเผ่า ที่ให้เคารพต่อโลกและสิ่งที่อยู่บนโลกทุกชนิด
จนเข้าช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 นักสำรวจชาวอังกฤษและฝรั่งเศสได้เข้ามาสำรวจและตั้ง รกรากในพื้นที่ประเทศแคนาดาในปัจจุบัน ความเปลี่ยนแปลงเริ่มเข้ามา ถึงแม้ในทีแรกพวกเขาต่างหวาดระแวงซึ่งกันและกัน แต่ด้วยนิสัยที่ค่อนข้างจะเป็นมิตรของชนเผ่าพื้นเมือง พวกเขาจึงต่างต้อนรับให้แก่ผู้มาเยือนใหม่เป็นอย่างดี ไม่นานทั้งคนผิวขาวที่มาอยู่ใหม่ และชนพื้นเมืองก็ต่างผูกมิตรอาศัยอยู่รวมกันได้ในที่สุด
พอวันเวลาผ่านไป ชนพื้นเมืองก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาตนเองคิดผิดเข้าใจมาตลอดว่า ชนพื้นเมืองกับคนผิวขาวสามารถที่จะอยู่ร่วมกันได้ แต่กับกันพวกเขากลุ่มชนพื้นเมืองต่างไม่ค่อยได้รับการยอมรับ และไม่ได้รับสิทธิดั่งเช่นคนผิวขาวที่มาอาศัยบนพื้นที่พวกเขาเท่าไหร่นัก
หลังจากกลายเป็นประเทศแคนาดา ชนพื้นเมืองก็เริ่มถูกกีดกันและขับไสไล่ส่งไปยังดินแดนอื่นที่ห่างไกลจากตัวเมืองที่คนผิวขาวสร้าง รัฐบาลเรียกการกระทำนี้ว่า “นโยบายการกวาดล้างดินแดนสำหรับการดำเนินงานของรัฐบาล” หรือก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรมนั่นเอง
เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลง ในปีค.ศ. 1874 นโยบายนี่ก็ถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการ และให้ดำเนินการสร้างโรงเรียนประจำของชนพื้นเมืองขึ้น โรงเรียนแห่งแรกจึงถูกสร้างขึ้นในบริติส โคลัมเบีย ประเทศแคนาดา โดยมีผู้ควบคุมดูแลเป็นบาทหลวงและแม่ชีจากคริสตจักร
โรงเรียนประจำสำหรับชนพื้นเมืองแคนาดา (residential school system)
โรงเรียนเพื่อการศึกษาที่ทัดเทียมของชนพื้นเมือง หรือ โรงเรียนประจำเพื่อชนพื้นเมืองแคนาดา เป็นโรงเรียนที่ถูกก่อตั้งขึ้น ตามนโยบายหนึ่งของรัฐบาลแคนาดา นำโดยนายกรัฐมนตรี จอห์น เอ แมคโดนัลด์ ที่ประกาศให้จัดการสร้างโรงเรียนประจำเหล่านี่ขึ้น เพื่อให้การศึกษาและสอนให้รู้เกี่ยวกับการใช้ชีวิตแบบสมัยใหม่ แก่เด็กชนพื้นเมืองต่างๆ ในแคนนาดา มีโรงเรียนประจำที่ถูกสร้างขึ้นมากกว่า 130แห่ง ทั่วทั้งประเทศแคนาดา และมีเด็กชนพื้นเมืองที่ได้เข้าสู่ระบบการศึกษามากกว่า 150,000 คน ในระหว่างปีค.ศ. 1874 ถึง 1996 โดยให้โรงเรียนประจำทั้งหมดอยู่ในความดูแลจากเครือคริสตจักร
ในทีแรกผู้คนต่างสรรเสริญว่า เป็นการกระทำที่เปี่ยมด้วยความเมตตา ที่ปราถนาจะมอบการศึกษาที่ดี ให้แก่เหล่าเด็กชนพื้นเมือง ให้มีโอกาสในการมีชีวิตเป็นอยู่ที่ดี และสามารถอยู่ร่วมกับคนเมืองที่เจริญแล้วได้ ไม่ต้องใช้ชีวิตตามป่าตามเขา เหมือนคนเถื่อนไม่มีการศึกษาอีกต่อไป ในทีแรกแทบไม่มีเด็กชนพื้นเมืองคนไหนต้องการมาเรียนมากนัก แต่ด้วยเวลาต่อมาเมื่อกฎหมายถูกบังคับใช้ และออกควบคุมให้ผู้ปกครองของเด็กชนพื้นเมืองจำเป็นต้องส่งบุตรหลานมาศึกษาในโรงเรียนประจำของรัฐบาลโดยทันที และห้ามทำการหลบหนี หรือพยายามซ่อน มิเช่นนั้นจะถูกจับกุมเข้าคุกโดยทันที ด้วยความกลัว พ่อแม่ของเด็กชนพื้นเมืองจำนวนมาก จึงต้องยอมปล่อยให้รัฐบาล นำบุตรหลานของตนเข้าไปเรียนในโรงเรียนประจำต่างๆ ที่รัฐบาลได้จัดเอาไว้ให้ อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจเท่าไหร่นัก
โดยแต่ละคนไม่รู้เลยว่า การส่งลูกของตนเข้าไปโรงเรียนประจำเหล่านี้ จะเป็นการพบเจอกันครั้งสุดท้าย เพราะมีเด็กจำนวนมากที่ไม่ได้กลับมาหาพ่อแม่ของตนอีกเลย…
ชะตาชีวิตของเหล่าเด็กชนพื้นเมืองในโรงเรียนประจำ
เมื่อเด็กๆ ถูกนำพามายังโรงเรียนประจำแล้ว พวกเขาก็จะถูกให้เปลี่ยนการแต่งกายโดยทันที ชุดเดิมที่ตัดเย็บของชนเผ่าพวกเขาจะถูกทำลายทิ้ง การพูดภาษาท้องถิ่น หรือ ภาษาเผ่า รวมถึงการขีดเขียนตัวอักษรของเผ่า เป็นสิ่งที่ผิดอย่างร้ายแรง พวกเขาจะถูกลงโทษด้วยการเฆี่ยนตีอย่างรุนแรง นอกจากนี้แล้วพวกเขาทั้งหมดจะไม่ได้รับการอนุญาติใหติดต่อกับไปหาพ่อแม่ของตนเองได้เลยเป็นอันขาด จนกว่าพวกเขาจะจบการศึกษาแล้วเท่านั้น
การสอนต่างๆ จะเป็นการสอนด้วยวิชาและภาษาอังกฤษกับฝรั่งเศสเท่านั้น ในทีแรกกลุ่มเด็กที่เข้าเรียนเป็นกลุ่มแรกๆ จะยังได้รับอาหารรวมถึงการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจากทางโรงเรียนอยู่ แต่พอนานวันเข้า เมื่อมีเด็กจำนวนมากถูกส่งมายังโรงเรียนประจำนี่เพิ่มมากขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่าก็เริ่มเปลี่ยนไป อาหารการกินที่เคยได้รับ ก็ถูกจัดให้ได้รับน้อยลง พวกเขาจะได้กินข้าวเพียงแค่หนึ่งมื้อต่อวัน และถูกบังคับให้เรียนอย่างหนัก บ่อยครั้งพวกเขาก็ยังถูกกระทำการรุนแรง ทารุณกรรมต่างๆอีก จากบันทึกคำบอกเล่าจากอดีตเด็กคนหนึ่งที่เข้าเรียน และสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนประจำได้บอกว่า มีอยู่วันหนึ่ง เพื่อนของเขาที่ย้ายมาใหม่เผลอหลุดปาดพูดเป็นภาษาถิ่นของเขา เมื่อคุณครูได้ยินก็ลงโทษเฆี่ยนตีเขาอย่างรุนแรง และสั่งอดอาหารเขาอยู่หลายวัน จนกระทั่งวันหนึ่ง ก็ไม่มีใครเคยเห็นเขาอีกเลย คุณครูเพียงแต่กล่าวว่า เขากลับบ้านไปอยู่กับครอบครัวของเขาแล้ว
วันเวลาผ่านไป เพื่อนๆที่เคยนอนด้วยกันกับเขาก็เริ่มหายไปทีละคน ตามคำบอกเล่า เขากล่าวแค่ว่า คุณครูจะเรียกชื่อของคนใดคนหนึ่งในกลางดึกให้ตามออกไป ทุกคนในห้องจะรู้ได้ทันทีว่า เมื่อใครถูกเรียกขึ้นกลางดึก เราจะไม่ได้เห็นเขาอีกเลยในเช้าวันต่อไป และยังมีการรายงานที่ได้บันทึกไว้ ที่เกี่ยวกับโรงเรียนประจำในที่ต่างๆ ที่พอมีเด็กอยู่รวมเป็นจำนวนมาก พวกเขากับไม่ได้รับการดูแลเอาใจใสที่ดี การกินอยู่ของพวกเขาไม่ถูกสุขอนามัย จนทำให้เกิดการระบาดของโรคต่างๆ หนึ่งในโรคที่ระบาดและพรากชีวิตของเด็กไปเป็นจำนวนมากมีตั้งแต่ไข้หวัดใหญ่ ไปจนถึงวัณโรคเลยก็มี
เมื่อพวกเขาเสียชีวิตลง พวกเขาก็จะถูกห่อผ้า ด้วยผ้าห่มบนที่นอนของพวกเขาอย่างลวกๆ และถูกนำไปฝังยังสวนข้างโรงเรียน หรือ โบสถ์ รวมทั้งในบางกรณี ศพเด็กเหล่านั้นก็อาจถูกนำไปฝังไว้ยังห้องใต้ดินของเรือนนอน หลุมศพต่างๆ ไม่มีการเขียนป้ายชื่ออย่างชัดเจน ไม่มีการทำพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาตายอย่างโดดเดี่ยวเสมือนกับร่างที่ไร้ตัวตน
แต่สิ่งที่อื้อฉาวที่สุด ที่ถือว่าเคยเกิดขึ้นในโรงเรียนประจำเหล่านี้คือ เด็กนักเรียนหญิงชนพื้นเมืองหลายคน ต่างถูกข่มขืน ล่วงละเมิดทางเพศเป็นจำนวนมาก บางรายถึงขนาดตั้งครรภ์เลยก็มี และเมื่อพวกเธอให้กำเนิดบุตร ลูกของพวกเธอจะถูกบาทหลวงนำไปในทันที บ้างก็บอกว่าถูกนำไปส่งมอบให้โบสถ์ใหญ่เป็นผู้ดูแล แต่หลายๆคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างเล่าว่าบาทหลวงได้โยนเด็กทารกลงไปในกองไฟ พร้อมบอกว่าเด็กที่เกิดจากบาปเป็นสิ่งที่ไม่ดี เปรียบเสมือนภาชนะของซาตาน หลายครั้งพวกเขายังเอาความเชื่อผิดๆ มาลงกับเด็กชนพื้นเมือง ทั้งการเฆี่ยนตี การบังคับอดอาหาร พร้อมให้เหตุผลว่าเป็นหนึ่งในหลักคำสอนของศาสนา ที่จะชำระล้างให้เด็กชนพื้นเมืองเหล่านี้บริสุทธิ์ กับกลายเป็นคนอย่างแท้จริง
นานวันเข้าการกระทำต่างๆ ก็เริ่มรุนแรงมากขึ้น จนถึงขนาดมีเด็กจำนวนหนึ่งได้ตัดสินใจ หลบหนีออกมาจากโรงเรียนเป็นจำนวนมาก บ้างก็สามารถหนีและหลบซ่อนใช้ชีวิตตามปกติ แต่บางคนโชคร้ายอาจจะหนาวตายในระห่างการหลบหนีก็มี แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่ากับพวกที่ถูกจับได้ว่าหลบหนี พวกนี่เองจะถูกทรมาณต่างๆ ก่อนที่พวกเขาจะจบชีวิตลง
ถึงแม้พวกเขาจำนวนหนึ่งจะสามารถก้าวผ่าน วันคืนที่โหดร้ายในโรงเรียนประจำจนสำเร็จการศึกษาออกมาได้ ฝันร้ายต่างๆก็ยังไม่จบลง พวกเขายังจะต้องเจอกับการโดนผู้คนดูถูกเหยียดหยาม จากเชื้อชาติของพวกเขา เมื่อพวกเขาอาศัยและทำงานในเมือง
จนเมื่อพวกเขาไม่สามารถทดรับแรงกดดันที่เกิดขึ้นในเมือง จากปัญหาทาด้านเชื้อชาติ พวกเขาบางส่วนก็อาจจะตัดสินใจ เดินทางเพื่อกลับไปอยู่อาศัยที่บ้านเกิดของตน แต่สิ่งนั้นก็แทบไม่ได้ช่วยอะไร เพราะพวกเขาจากมาเป็นเวลานาน วัฒนธรรมรวมถึงการใช้ชีวิตของพวกเขา ได้ถูกทำลายลงตั้งแต่อยู่ในโรงเรียนประจำจนหมดสิ้นแล้ว ส่วนมากจึงไม่สามารถใช้ชีวิตตามแบบชนพื้นเมืองตามเดิมได้ ก็จะกลายเป็นแรงกดดันอีกระลอก ที่ทำให้พวกขารู้สึกแตกต่าง และหนึ่งในกลุ่มนี้ จำนวนมากที่ได้รับรายงาน ก็มักจะปลิดชีพตัวเองลงกันแทบทั้งสิ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้มีการคาดการณ์เอาไว้ว่า มีเด็กที่เสียชีวิตลงมากกว่า 6,000 ราย เป็นผู้ที่ถูกระบุตัวตนได้แล้วกว่า 4,100ราย
โดยเฉพาะ โรงเรียนประจำคัมลูปส์อินเดียน ที่กล่าวกันว่ามีเด็กมากกว่า 500 คน ที่ได้เข้าเรียนในโรงเรียนนี่ ทุกๆปี จะต้องมีเด็กเสียชีวิตตลอด การเสียชีวิตในแต่ละปีเฉลี่ยแล้วนักเรียนที่เข้ามายังโรงเรียนประจำแห่งนี้ต่างเสียชีวิตมากถึง 69% เลยทีเดียว!!
การยอมรับและการชดเชย
ข่าวลือต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนประจำของชนพื้นเมือง ได้ถูกกล่าวถึงมาตลอด จากปากคำบอกเล่าของเด็กที่จบออกมาจากสถาบัน และกลุ่มเด็กที่สามารถหลบหนีออกมาได้ ก็ต่างบอกถึงโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ที่เคยเกิดขึ้นในโรงเรียนประจำแห่งนี้ ทั้งการทารุณกรรม การทำร้ายร่างกาย รวมถึงการข่มขืน ก็ถูกตีแผ่ออกมา แต่รัฐบาลในสมัยนั้น ก็ยังเงียบเฉย เสมือนกับเรื่องทั้งหมดไม่เคยเกิดขึ้น
จนกระทั่งในปี 2008 ก็ได้มีการร้องขอให้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมา เพื่อร่วมทำการสอบสวน สืบสวน ว่าเรื่องต่างๆนั้น เป็นเรื่องจริงมีมูลมากแค่ไหน เพราะตามรายงานไม่ได้บอกถึงว่าเด็กอีกหลายพันคนที่อยู่ในบันทึกเข้ามาเรียน แต่ไม่มีบันทึกจบออกไป และไม่สามารถติดตามได้ว่าพวกเขาหายไป หรือ อาศัยอยู่ที่ไหน?
จนเมื่อการสืบสวนเริ่มต้นขึ้น พวกเขาได้ลงเจาะลึกในข้อมูลต่างๆ ทั้งคำบอกเล่า รวมถึงบันทึกเหตุการณ์ต่างๆ จนนำมาสู่ข้อมูลความจริงที่สร้างความสะเทือนใจ และสร้างความตกตะลึงให้แก่ประเทศแคนาดาเป็นอย่างมาก ไม่ใช่เพียงประเทศแคนาดา แต่รวมถึงผู้คนต่างๆทั่วโลก เมื่อทราบกับความจริงของชะตากรรมที่เกิดขึ้นของเด็กๆ ชนพื้นเมืองในแคนาดาแล้ว ก็ต่างรู้สึกสะเทือนใจ เวทนาเป็นอย่างมาก ที่เด็กๆ จำนวนมากต้องตายลงในสถานที่ ที่ถูกเรียกว่าโรงเรียน และในปีเดียวกัน รัฐบาลแคนาดาก็ยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดต่างๆ ที่กล่าวมานั้นเป็นเรื่อจริงในอดีต ที่แสนเจ็บปวดและอัปยศที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งประเทศขึ้นมา ทางรัฐบาลได้กล่าวว่า “ขอโทษ ต่อนโยบายที่อื้อฉาวนี้ในอดีตอย่างเป็นทางการ” อีกทั้ง จะเร่งสืบหาว่าศพทั้งหมดที่ถูกฝังอยู่ตามสถานศึกษาต่างๆ เป็นศพของใคร เพื่อติดตามนำส่งกลับไปยังครอบครัวของพวกเขา รวมถึงการชดเชยต่อความผิดนี้ทั้งหมดในอดีตอย่างถึงที่สุด
จนกระทั่งต่อมาในปี 2015 ก็มีการเปิดรายงาน จากคณะกรรมการ “ความจริงและสมานฉันท์แห่งแคนาดา” ได้ระบุว่า นโยบายนี้ เทียบเท่า “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางวัฒนธรรม” และในเวลาต่อมาจากการค้นพบศพเด็กผู้เคระห์ร้ายมากมาย ตามสถานศึกษาในอดีต ที่เมืองต่างๆ จนได้ข้อสรุปว่า ให้มีการถอดถอนอนุสาวรีย์ “จอห์น เอ แมคโดนัลด์” นายกรัฐมนตรีคนแรกของแคนาดา ที่เมืองชาร์ลอตต์ทาวน์ ออกอย่างด่วนที่สุด เนื่องจากนโยบายของเขาที่สร้างความอัปยศอดสู่ให้แก่ประเทศแคนาดา และเป็นการป้องกันความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น จากผู้คนที่รู้สึกโกรธแค้นต่อข่าวนี้ รวมถึงอนุสาวรีย์ในสถานศึกษาตามเมืองต่างๆ ก็ถูกนำออกไปด้วยเช่นกัน
จนเมื่อเร็วๆนี้ ในวันที่ 27 พ.ค. 2021 ที่ผ่านมา ได้มีการใช้เทคโนโลยีการตรวจสอบด้วยเรดาห์ใต้พื้นดิน ได้ถูกนำมาใช้ในการตรวจสอบใต้โรงเรียน แคมลูปส์ อินเดียน เรซซิเดนเชิล สคูล” (Kamloops Indian Residential School) เมืองแคมลูปส์ ในบริติช โคลัมเบีย ผลจากการตรวจสอบทำให้ถึงกับตกตะลึง เพราะตรวจพบศพเด็กจำนวนมากถึง 215 คน!!
จากปากคำบอกเล่าของ โรซาน แคสิเมียร์ หัวหน้ากลุ่มชนพื้นเมืองเทอห์แคมลูบส์ เทอห์ เซอห์เคว็บเมอห์ ได้กล่าวไว้ว่า “เราได้ร่วมมือกันกับกลุ่มผู้คนจำนวนมาก ทั้งนักวิชาการ นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่น รวมถึงข้าราชการระดับสูงอีกหลายคน ที่เข้ามาช่วยเหลือในการค้นหา จนกระทั่งเราได้ทราบเกี่ยวกับข้อมูล ร่วมถึงรายงานที่เกิดขึ้นในโรงเรียนประจำแห่งนี้ ถึงการหายตัวไปอย่างลึกลับของเด็กๆในยุคนั้น ที่โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่ มีเด็กเรียนในโรงเรียนแห่งนี้ มากกว่า 500 คน แต่กับมีเด็กจบออกไป หรือ ได้ออกไปแค่เพียงไม่ถึงร้อย ส่วนเด็กที่เหลือก็เหมือนข้อมูลขาดหายไปอย่างสุดวิสัย พวกเราจึงค่อนข้างแน่ใจว่าเด็กหล่านี้น่าจะเสียชีวิต และศพก็คงถูกฝังในที่แห่งนี้”
เมื่อได้ข้อสรุปจนแน่ใจแล้ว จึงได้ทำเรื่องขอความช่วยเหลือไปยังบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง จนได้รับอุปกรณ์เรดาตรวจใต้พื้นดิน นำมาใช้ ซึ่งการตรวจด้วยอุปกรณ์นี้ นำมาซึ่งการพบศพเด็กมากกว่า 215 คน หนึ่งในนั้นมีเด็กอายุเพียง 3 ขวบ รวมอยู่ด้วย ซึ่งการพบศพเด็กชนพื้นเมืองในครั้งนี้ สร้างความตกตะลึงปนโกรธแค้นให้กับประชาชนชาวแคนาดาเป็นอย่างมาก
จนในเวลาต่อมา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของแคนาดา นายจัสติน ทรูโด ได้บอกกล่าวกับสื่อ และเขียนลงบนทวิตด้วยข้อความว่า “ข่าวนี้ ทำให้หัวใจของผมแตกสลาย มันเป็นเหมือนการเตือนความทรงจำอันเลวร้ายของหน้าประวัติศาสตร์อันดำมืดและน่าอายของประเทศ”
นับเป็นเรื่องที่อื้อฉาวที่สุดที่เคยเกิดขึ้นมาในประเทศ ที่ใครหลายคนก็ฝันว่าอยากจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แต่ทำไงได้ทุกประเทศก็ล้วนแล้วแต่มีด้านมืดด้วยกันทั้งนั้น เราไม่สามารถปฎิเสธถึงอดีตที่ผ่านมา รวมถึงการเปลี่ยนแปลงอดีตไม่ได้ แต่เราเลือกที่จะถอดบทเรียนนี้ในอดีตออกมาเรียนรู้ และพยายามไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เพราะมันคงเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก ลองคิดดูถ้าเราเป็นพ่อแม่ ก็คงจะใจสลายถ้ามาทราบความจริงว่าลูกของตนถูกกระทำ บางคนก็ต่างเฝ้ารอการกลับมาของลูกตนอย่างใจจดใจจ่อ แต่ก็ไม่เคยเลยที่พวกเขาจะได้กลับมา หรือ ใครโชคดีได้ลูกกลับคืนมา ก็ต้องมาพบกับความจริงที่บุตรของพวกเขาไม่เหมือนเดิมกลายเป็นดั่งคนแปลกหน้า อยู่ก็เหมือนกับตายความเจ็บปวดนี้ จะคอยกัดกินใจพวกเขาตลอด จนกว่าชีวิตนี้ของพวกเขาจะดับสูญ มันเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นเลยจริง…
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending