คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่33
บทที่33 ความลงตัวที่พอดี
“ถึงอะไรๆ จะดูแย่ แต่…มันก็เป็นแค่บางวัน ไม่มีใคร ‘มีความทุกข์ ‘ ได้ทุกวัน ให้ท่องไว้ว่า…ทุกครั้งเราต้องผ่านมันไปให้ได้ “
** วันนี้เป็นวันที่ผมจะต้องได้ย้ายแดน ทุกอย่างเตรียมพร้อมไว้หมดแล้วไม่มีอะไรที่ต้องเป็นห่วงและต้องคิดอีก เงินทุนไว้ใช้ตั้งตัวที่แดนนู้น พี่เล็กก็ได้เตรียมมาให้แล้ว น้ำจิตน้ำใจที่เขามีให้กับผมในครั้งนี้ ผมจะไม่ลืมเลยจริงๆ คำพูดที่ว่าคนล้มห้ามข้าม เป็นคำเปรียบเปรยที่เหมาะกับผมในสถานการณ์เช่นนี้ และ คนอย่างพี่เล็กไม่เคยมองข้ามใคร หรือ เหยียบหัวคนอื่น เพื่อให้ตัวเองเป็นใหญ่ คนแบบนี้น่าสรรเสริญน่าคบหา ผมจึงอยากบอกใครหลายๆคนว่า ถึงพวกเราจะเป็นคนคุก ก็ใช่ว่าจะหมดความเป็นคน **
11:30 น.เสียงประกาศภายในแดนได้ประกาศเรียกชื่อ ผมกับไอ้แว่นให้ไปพบ ผ.บแดนที่หน้าประตูแดน ผมจึงบอกกับไอ้แว่นว่า “ไปไอ้แว่นได้เวลาแล้ว” ไอ้แว่นลุกเดินตามผมไปหน้าประตู พอเข้าไปถึงเราสองคนทำความเคารพเสร็จ ก็ได้นั่งลงตรงหน้า ผ.บแดน ผ.บแดนเรียกชื่อเราสองคน เราสองคนก็ตอบรับ ผ.บแดนก็ไม่ได้ถามอะไรมากถามแค่ว่า “มึงสองคน หัวหน้ากองงานสอง พี่เกียรติ เขาทำเรื่องขอตัวมึงสองคนย้ายแดนไปช่วยงานแก เตรียมตัวเก็บของย้ายแดน ให้เวลา15นาที ไปได้แล้ว ” จบคำสั่ง ผ.บแดน ผมกับไอ้แว่นได้ลุกขึ้นทำความเคารพแล้วก็เดินออกมา เก็บของใช้เสื้อผ้า
ซึ่งไอ้แว่นมันจัดการเก็บใส่ถุงเตรียมไว้ แต่ตอนเช้าแล้ว เด็กในบ้าน เพื่อนๆต่างเดินมาถาม ไม่รู้ว่าเพราะเป็นห่วง หรือ อยากรู้กันแน่ แต่ผมก็บอกไปว่าย้ายแดน จึงทำให้ไอ้หมีพูดกับผมว่า “โห่..ไอ้สัตว์ จะไปก็ไม่บอกกูบ้าง กูจะได้ไปด้วย ทิ้งกันเลยนะมึง” มันคงจะน้อยใจผม ผมดูออก ผมจึงบอกมันว่า “เออกูขอโทษ มันฉุกละหุกไม่ได้ตั้งตัวเหมือนกัน แต่เดี๋ยวอาทิตย์นี้ เขามีย้ายแดนกันอยู่แล้ว มึงก็ใส่ชื่อย้ายมาเลย เดี๋ยวกูย้ายไปแล้วจะบอกไอ้บอยว่าเตรียมดึงชื่อมึงย้ายมานอน2/5เลย ตามนี้ไม่กี่วันเดี๋ยวก็เจอกัน ” พอมันได้ยินที่ผมบอกอาการขุ่นเคืองใจของมัน ก็ลดลง มันจึงพยักหน้าตอบผม
ใช่เวลาล่ำลาพวกพ้องเสร็จ ผมกับไอ้แว่นก็เดินถือของไปหน้าประตูแดน ก่อนถึงหน้าประตู ผมเงยหน้าหันไปมองบนกองงาน3 สายตาผมก็เจอกับชายร่างใหญ่ถอดเสื้อ ลายสักล้นเต็มตัว ยืนมองมาที่ผม เหมือนกับเขากำลังมาส่งผมด้วย พี่เล็กนั้นเอง ผมยกมือขึ้นไหว้แก แทนคำพูดทั้งหมด ผมไปก่อนนะพี่ ขอบคุณพี่มากๆที่พี่คอยดูแลช่วยเหลือผมเป็นอย่างดี พี่ชายที่แสนดีของผม ไว้เจอกันข้างนอกนะพี่ ดูแลตัวเองดีๆด้วยครับ แกยิ้มรับไหว้ผมถึงแม้มันออกจะค่อนข้างไกล แต่ก็รู้สึกได้ถึงความรักและเป็นห่วงที่แก่ส่งมาให้ผม แก่โบกมือให้ผม ” โชคดีไอ้น้องชาย ” ผมได้ยินคำนี้จริงจากปากที่แก่พูด ถึงแม้หูผมจะไม่ได้ยิน แต่ใจผมมันรู้สึก…
เราสองคนกำลังเดินอยู่สายกลาง( ทางเดินที่จะไปได้ทุกแดนในเรือนจำ) โดยมีไอ้อุ๊ เป็นคนเดินมาส่งผม “นึกไงถึงได้ย้ายแดนว่ะใหญ่ อยู่นี้ก็สบายพี่เล็ก เขาก็ดูแลแกดีนี่หว่า” ไอ้อุ๊เพื่อนสมัยเรียนถามผม มันคงสงสัยที่ผมเดินเรื่องเสียเงินย้ายแดน “มันสบายก็จริงว่ะเพื่อน แต่กูอึดอัดว่ะ มันไม่มีอะไรทำกูขอไปอยู่ที่ของกูแดนนู้นดีกว่า มันสบายกว่ากันเยอะว่ะ มึงคงรู้ว่ากูอยู่แต่แดนนู้นมา มันลงตัวกว่า” ผมบอกกับมันให้เข้าใจ ว่าไม่ใช่พี่เล็กดูแลไม่ดีหรืออะไร แต่มันเป็นความตั้งใจจริงๆของผมที่บอกกับมันให้เข้าใจ
แล้วผมกับไอ้แว่น ก็มาถึงหน้าประตูแดนเด็ดขาด สถานที่อีกแดนหนึ่ง ในเรือนจำแห่งนี้ ที่ซึ่งผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี เปรียบได้ดั่งบ้านหลังที่สองของผมเมื่อเราสองคนเข้าไปในแดนแล้ว ผมกับไอ้แว่นได้ทำความเคารพ เจ้าหน้าที่หน้าประตูแดนเป็นที่เรียบร้อย พี่เจ้าหน้าที่ก็ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของผมกับไอ้แว่น พอผมกับไอ้แว่นตอบเสร็จ พี่ไก่ก็เซ็นชื่อและให้ผมเข้าไปในแดน และก่อนที่ผมจะเข้าแดน พี่ตี๋เสมียนแดนซึ่งผมได้รู้จักเป็นอย่างดีก็ได้กล่าวทักทายกับผม
แกได้จดชื่อผมกับไอ้แว่นลงในสมุดแดนเป็นที่เรียบร้อย แกจึงถามผมว่า ” เข้ามานานหรือยังใหญ่..แต่พี่ก็ได้ยินข่าวแล้วล่ะว่าเอ็งเกมเข้ามา ก็เพิ่งจะได้เจอกันเนี่ยแหละ แล้วนี่นอน 2/5 ห้องเดิมนะทั้งสองคนเลย ” พี่ตี๋ได้ถามกับผม “ผมเข้ามาได้จะ 5 เดือนแล้วพี่นอนห้องเดิมครับพี่ขอบคุณมากครับที่เป็นธุระให้แล้วนี่ไอ้แว่นน้องชายผมครับพี่ ” ผมพูดกับแก และแนะนำไอ้แว่นให้แกได้รู้จัก ไอ้แว่นยกมือสวัสดีแกเป็นการแสดงสัมมาคารวะที่เด็กมีต่อผู้ใหญ่ แกก็พยักหน้ารับและยิ้มให้
พอผมก้าวเท้าพ้นประตูแดน เงยหน้าขึ้นมองบนโรงงาน 2 ก็เห็นบรรดาเพื่อนฝูงที่ผมรู้จักทั้งจากข้างนอกและข้างในคุก ต่างยืนกันหน้าสลอนรอต้อนรับผมเป็นการใหญ่ต่างตะโกนพูดบอกขึ้นมาว่า “ขึ้นมาเลยให้ไวคิดถึงมึงชิบหายเลยไอ้ใหญ่ ” นี่แหละครับความแตกต่างข้อที่ 1 ที่ผมได้ย้ายแดนมา มันต่างจากแดนแรกรับที่ผมอยู่เป็นอย่างมากนั่นคือ ความเป็นกันเองในแดนแห่งนี้ผมจึงหันมาพูดกับไอ้แว่นว่า “ไอ้แว่นเดี๋ยวมึงก็รู้ว่าทำไมกูถึงได้ย้ายแดน มึงจะค่อยๆเข้าใจเอง ” ไอ้แว่นจึงพูดตอบกลับผมว่า “ผมก็ชักจะเริ่มเข้าใจแล้วละพี่ ว่าอะไรเป็นอะไร ” ผมยิ้มในความหัวไวของมันและการพินิจพิจารณาในหลายๆเรื่องของมัน
มันไม่เคยทำให้ผมลำบากใจตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา “กูอยากบอกกับมึงว่ามึงเป็นอย่างที่มึงเป็นในตอนนี้มึงอยู่ได้แน่นอนถึงไม่มีพี่มึงก็อยู่ได้ ” ผมจึงผูดกับไอ้แว่นไปอย่างนั้น ไอ้แว่นพยักหน้ารับแล้วยิ้มให้กับผม เราสองคนเดินหิ้วของพะรุงพะรังขึ้นไปบนโรงงาน 2 เพื่อไปหาไอ้บอยดำกับไอ้ต้นหลังคุก 2 เพื่อน ที่เป็นคนเดินเรื่องให้ผมได้ย้ายแดน แล้วก็มีเด็ก 2 คนเดินลงมาเพื่อที่จะหิ้วของที่ผมถือกันอยู่ ผมจึงได้ขอบใจในความมีน้ำใจของมัน 2 คน จึงให้ค่าตอบแทนมันเป็นบุหรี่คนละตัว “ขอบคุณครับพี่ใหญ่ ” พวกมันพูดกับผม ผมยิ้มรับแล้วก็เดินตัวปลิวขึ้นโรงงาน 2 ทันที
พอถึงโรงงาน 2 สิ่งแรกที่ต้องทำนั้นก็คือการเข้าไปหาเจ้าหน้าที่ ที่อยู่บนกองงาน2 ซึ่งก็คือลูกพี่ของผมในเวลาต่อมาและเขาก็คือคน ที่ดึงผมกับไอ้แว่น ย้ายมาแดนนี้ เขาก็ไม่ได้ถามอะไรมาก ก็แค่รับรู้ว่าผมสองคนมาแล้วก็เท่านั้น ต่อมาผมก็ได้ออกมานั้งคุยกับบรรดาพวกเพื่อนๆ ต่างก็ถามสารทุกข์สุขดิบว่าเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม และ ก็คุยกันเรื่องข้างนอก
ว่าตอนนี้มันเป็นอย่างไร เพราะพวกมันต่างก็ติดคุกกันมาก็หลายปี ส่วนมากก็ไม่พ้นกับเรื่องยา เรื่องผู้หญิง โดยมีไอ้แว่นนั่งมองตาปริบๆ เพราะมันก็ไม่รู้เรื่องที่พวกผมคุยกัน ผมคิดว่าไอ้แว่นมันคงจะงง ว่าทำไมแดนนี่เพื่อนผมถึงได้เยอะขนาดนี้ ไอ้แว่นมันคงรับรู้และเข้าใจได้ในสาเหตุที่ผมย้ายแดนมา มันคงเห็นถึงความสบายใจ ที่ผมมีในตอนนี้ทั้งแววตาและรอยยิ้มของผม บวกกับเสียงหัวเราะ ที่ไม่เคยมีมาก่อน มันบ่งบอกได้
ซึ่งตอนอยู่ที่แดนนู้นผมไม่ได้เป็นอย่างนี้เลย ผมบอกตามตรงได้เลยครับว่า มันคือความสบายใจ ที่ตั้งแต่ผมติดคุกมาผมยังไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน มันเหมือนกับว่าผมได้กลับมาบ้าน บ้านหลังที่สองของผม ซึ่งคุณผู้อ่านคงจะไม่คิดเหมือนผมแน่นอน เพราะที่นี่มันคือคุกที่ดัดสันดานคนผิด คนที่สังคมไม่ยอมรับ เป็นไอ้ขี้คุก แต่กลับกันแล้วนั้น ในความคิดของคนอย่างพวกผม ที่นี่คือบ้าน ที่ซุกหัวนอนจะทำยังไงได้ล่ะครับก็ในเมื่อพวกผมกระทำความผิด ผิดกฎหมาย พวกผมก็ต้องมาชดใช้กรรมในนี้ มันก็เลยบอกได้ว่าที่นี่คือบ้านนั่นเอง
และในเมื่อคุณต้องอยู่บ้าน คุณก็ต้องหาความสะดวกสบายใจใส่ตัวเองถูกไหมครับ ผมเองก็เช่นกันอยากย้ายแดนมาในครั้งนี้มันช่างถูกใจผมจริงๆ หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับพวกเพื่อนๆเสร็จแล้ว ผมกับไอ้แว่นก็เลยจะหากาแฟกินกันคนละแก้ว โดยที่ที่ไม่ต้องไปไหนไกล บนโรงงาน 2 ก็จะมีร้านขายกาแฟ เป็นร้านของเพื่อนผมเองชื่อไอ้เจ๋ง มันจะขายกาแฟแก้วใหญ่ 20 บาทแก้วเล็กแก้วละ 10 บาท เอาไว้ขายกับพวกที่ทำงานอยู่บนโรงงาน 2 นั่นเอง
ทั้งจ่ายสดหรือลงบัญชีเอาไว้ก็ได้ครับ ” ไอ้เจ๋งเพื่อนเลิฟขอกาแฟแก้วละ 10 บาท 2 แก้วเปิดบัญชีลงบัญชีชื่อกูก็เลยนะ ” ผมได้สั่งกาแฟกับพื่อนสนิทไว้แบบนั้น ” ได้เลยเสี่ยใหญ่ เป็นไงบ้างสบายดีเปล่า ” ไอ้เจ๋งได้ถามสาระทุกข์สุขดิบกับผม ” พ่อสบายดีว่ะแต่แปลกชิบหายจะ 5 เดือนแล้วที่บ้านยังไม่มีใครมาเยี่ยมกูเลยว่ะ ” ผมได้บอกถึงความอึดอัดใจที่มีให้มันฟัง และแล้วก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกเสมียนห้อง 2/5 ให้ไปพบหน้าประตูแดน
คงจะเป็นเรื่องที่พวกผมสองคนย้ายขึ้นห้องมาเป็นแน่ และไอ้แจงซึ่งเป็นเสมียนห้อง 2/5 ก็ได้รีบลงไปหน้าประตูแดนทันที สักพักมันขึ้นมาพร้อมกับที่นอน 2 หลังซึ่งเป็นของผมกับของไอ้แว่นนั่นเอง “อ้าวนี่ที่นอนของมึงและน้องมึงยกขึ้นไปเองนะครับไม่มีบริการยกขึ้นไปให้ ” มันบอกกับผม “และถ้าจะมีบริการยกขึ้นไปให้ต้องทำยังไงครับ ” ผมพูดแซวมันเอาฮา
ผมนั่งเล่นพักผ่อน เพราะยังไม่มีอะไรทำ ผมนั่งมองบรรยากาศบนโรงงาน 2 มันไม่ได้เปลี่ยนไปเลย เกือบ 2 ปี ตั้งแต่ผมปล่อยตัว ออกจากคุกมารอบที่แล้ว บรรยากาศมันก็เหมือนเดิม โรงงาน 2 นั้นเป็นโรงงานพับถุงกระดาษ ส่วนมากจะเป็นถุงกระดาษกักความเย็น ใส่กาแฟซะส่วนใหญ่ นานๆจะเป็นถุงกระดาษแข็งในห้างสรรพสินค้า อย่างเช่นห้างพารากอนยังต้องจ้างคนในคุกทำเลยนะครับ และนักโทษที่ทำงานอยู่บนโรงงาน 2 มีอยู่ประมาณ 300 ต้นๆทำงานจริงๆประมาณ 220 คน นอกนั้นก็พวกตัดยอดงานพวกโยธาบนโรงงาน ครูฝึก หัวหน้าล็อค และยอดลอย ยอดเซิ้ง อะไรหลายๆอย่าง
ส่วนมากที่ไม่ได้ทำงาน ก็พวกในบ้านเราทั้งนั้นแหละครับ แต่โรงงาน 2 ของเรานั้น ไม่ได้บีบยอดงานเท่าไหร่ เพราะส่วนมากคนที่ทำงาน ต่างก็พวกยอดฝีมือทั้งนั้น เที่ยงกว่าๆ ก็ทำเสร็จหมดแล้ว เวลาที่เหลือจะนอนกันซะเป็นส่วนใหญ่ มันก็เลยควบคุมง่ายไม่มีปัญหาอะไรมากนัก เอาไว้ตอนหน้าผมจะเล่าเรื่อง บนโรงงาน 2 ให้ฟังต่อนะครับ แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าครับ (โปรดติดตามตอนต่อไป) ” หมีขาว ขั้ว โลกเหนือ “
คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่33
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun