คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่53
บทที่53 7 วันอันตราย.
*จำไว้ว่า “ความทุกข์” และ “ความเจ็บปวด” ทั้งมวลไม่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา..เพื่อมอบ “คำสาป” แต่มันผ่านเข้ามาในชีวิตเราเพื่อมอบ.. “คำสอน”
** ผ่านมาแล้ว7วันกับความหนาว นับตั้งแต่วันศุกร์ที่แล้วจนมาถึงวันพฤหัสนี้ ความหนาวไม่มีทีท่าจะหมดลงเลย มันมีแต่วันนี้หนาวมาก วันนี้หนาวน้อยกว่าก็เท่านั้นเอง ดังเช่นวันนี้หนาวที่สุดในรอบ7วันเห็นจะได้ ถึงขนาดที่ผมต้องเอาผ้าห่ม มาห่มข้างล่างเลยทีเดียว และ 7 วันมานี้ มีคนเป็นไข้เพิ่มมากขึ้น จะแตะหลัก 300คนอยู่แล้ว เฉพาะแค่ในห้อง 2/5 ก็ปาไปยี่สิบคนเห็นจะได้ ถ้าใครมียากินมันก็ดีไป แต่ถ้าใครไม่มียากิน ผมก็จะแบ่งให้คนละ 4 เม็ด ทำเอาตอนนี้ยาพาราผมหมดไป 40เม็ด และถ้ายังเป็นแบบนี้ ผมก็คิดว่าคงไม่มียาแจกให้อีกแล้ว วันนี้จะขึ้นไปบอกแบบนี้บนห้อง ถ้ามัวแต่เอ็นดูเขาเอ็นเราขาดเป็นแน่ เพราะว่ามันมีพวกที่รู้ว่ามียาแจกให้กิน ก็เลยไม่คิดจะดิ้นรนหาเอง คนประเภทนี้มันมีเยอะครับไอ้พวกที่เห็นแก่ตัว…
ผมนั่งห่มผ้าสูบบุหรี่แก้หนาวอยู่สักพัก ไอ้แว่นก็เดินมาพร้อมกาแฟร้อนๆ ควันเนี่ยกลบเลยที่เดียว รอบนี้มันไม่ได้มาเป็นแก้ว แต่มาเป็นโก้(กระป๋องความจุประมาณ 4แก้ว) ผมเห็นดังนั้นเลยชิงพูดก่อนมันว่า
“ทำไมชงมาซะเยอะเลยละไอ้แว่น ” ไอ้แว่นมันเลยพูดตอบกลับผมไปว่า “อากาศหนาวขนาดนี้ แก้วไม่อยู่หรอกพี่ มันต้องเป็นโก้แบบนี้หัวสมองมันจะได้โล่งบวกกลับขนมปี้บใส่สัปรดเข้ากันดีนะพี่ ” ผมฟังในสิ่งที่มันนำเสนอแล้วลองกินดู
“เออว่ะ..มันจริงอย่างที่มึงบอกจริงๆด้วย และมึงนิชงกาแฟได้อร่อยถูกใจกูจริง ๆจนทุกวันนี้กูชงกาแฟกินเองไม่อร่อยไปแล้วนะ” ผมชมไอ้แว่นมันเล่น มันเนี่ยยิ้มไม่หุบเลย เราสองคนนั้งห่มผ้ากินกาแฟกันไป คุยกันไป เผลอแป็บเดียวขนมที่มันแบ่งมากินกับกาแฟและก็กาแฟได้หมดลง กินกาแฟที่ไอ้แว่นชงมาให้กิน ทำให้ผมรู้สึกกระชุ่มกระชวยมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว ร่างกายมันก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นอีกด้วย มันเหมือนกับเราสดชื่นขึ้นมาทันตาเลยที่เดียว
สมองมันจะได้แล่น ๆ เพราะว่าอากาศแบบนี้มันพาให้ไม่อยากจะทำอะไร ขี้เกียจไปหมด “เป็นไงพี่กาแฟฝีมือผม ช่วยได้เยอะเลยใช่ไหม สมองแล่นหรือยัง..ปิ้ง..ปิ้ง !!” ไอ้แว่นถาม ผมพยักหน้าทำนองให้มันรู้ว่า..สุดยอด!!ไปเลยไอ้น้องชาย
นั่งเล่นยังไม่ถึง 5 นาที เสียงนกหวีดยาวบอกเวลากินข้าวเช้าก็ดังขึ้น ผมจึงลุกไปกับไอ้แว่นเพื่อจะเดินเข้าโรงเลี้ยงไปทานข้าว ระยะทางไม่ถึง 50 เมตร แต่ขอบอกเลยว่า” หนาวจริงๆ” ลมที่แรงกับอากาศที่หนาว ประกอบกับผมต้องใส่กางเกงขาสั้นด้วย มันก็ยิ่งทำให้ความหนาวทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก ไม่ว่าจะมองไปทางไหน ก็เห็นมีแต่นักโทษเอาผ้าห่มลงมาห่มกันทั้งนั้น…อากาศปีนี้มันช่างโหดร้ายเสียจริง พอหน้าหนาวก็หนาวจับใจ แต่พอหน้าร้อนก็โคตรจะร้อนเลย โลกมนุษย์เรามันช่างไม่มีอะไรพอดีเลยหรือนี่
แต่ก็ถือว่ายังโชคดีอยู่หน่อย ที่อาหารเช้าวันนี้เป็นต้มจืดหัวไชเท้าร้อนๆ ที่สามารถซดน้ำโดยไม่ต้องเป่าได้เลย อีกทั้งต้มจืดวันนี้ มีรสชาติหอมอร่อยหวานน้ำต้มกระดูก ผมชอบที่สุดแล้วครับ อาหารเช้าในคุก ส่วนอาหารเย็นเนี้ยก็..กินไปเพื่อประทังชีวิตครับ เพราะว่ามันอร่อยเป็นบางวันเท่านั้น และถ้าวันไหนที่ไม่อร่อย ก็เหมือนกับเรากินน้ำเปล่ากับข้าวประมาณนี้ เพราะผมก็ไม่รู้จะหาอะไรมาเปรียบเปรย กับรสชาติกับข้าวที่มันไม่มีรสชาติเอาซะเลยได้ไงครับ
เราทั้งสองกำลังกินข้าวกันอยู่เพลิน ๆ ทันใดนั้นเองก็ได้มีเด็กพ.บ รีบเข็นเตียงคนไข้ วิ่งเข้าไปในแดนอย่างรวดเร็ว แค่เห็นก็คิดได้เลยว่าไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ สงสัยคงเป็นเรื่อง คนป่วยที่ไม่ได้ออกพ.บหรือมียากิน มหกรรมไทยมุง อิสลามมุงทั้งหลาย ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็น บางคนที่กินข้าวอยู่ก็รีบลุกขึ้นยืนดูชะเง้อมองกันเต็ม และไอ้พวกที่หนักกว่านี้หน่อย ก็คือวิ่งไปดูกันให้เห็นจะจะไปเลย มันจึงสร้างความวุ่นวายสับสน เบียดเสียดยัดเยียดกันมาก ผมเห็นแล้วก็ได้แต่สังเวชใจจริงๆ
“สงสัยจะเป็นพวกที่อยู่ห้องพิเศษแน่เลยพี่ “ ไอ้แว่นบอกกับผม “แบบนี้อาการหนักเป็นแน่ ถ้าหนักไม่จริง เด็กพ.บ มันไม่ออกมาหรอก แล้วมึงดูคน จะเยอะไปไหนว่ะ! มึงดูกันก็ไม่ช่วยอะไร ดูให้เกะกะคนเขาจะทำงานกันเปล่าๆ มึงก็ด้วยไม่ต้องไปสนใจไอ้แว่น กินข้าวต่อเถอะเอาไว้เป็นเรื่องของเราก่อนดีกว่าค่อยสนใจ ถ้าเป็นเรื่องของคนอื่นอย่าไปสนใจเลย ” ผมได้พูดบอกไอ้แว่นไป เห็นมันชะเง้อชะแง้คอมองอยู่ได้ อยากรู้อยากเห็นไปหมด
เพียงเวลาแค่ไม่นาน ไอ้เด็กพ.บก็เข็นเตียงพยาบาลที่มีผู้ป่วยออกมาด้วย เป็นชายแก่อายุน่าจะเกิน 60 ร่างเขานั้นไม่ไหวติงมันแน่นิ่งเสมือนกับคนไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่กับไม่เป็นดั่งที่เราเห็น เพราะชายแก่คนนั้นยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหากตายจริงจะไม่มีใครสามารถเคลื่อนย้ายศพไปไหนได้ ต้องรอจนกว่าตำรวจกับหมอที่ชันสูตรมาชันสูตรศพเสียก่อน ถึงจะเคลื่อนย้ายศพออกไปไว้ที่อื่นได้ และผมมารู้ทีหลังว่า ลุงแกชื่อสมจิตร หรือ ลุงสม ที่หลาย ๆ คนเรียกกัน
ลุงสมแกไม่ค่อยมีญาติมาเยี่ยมหรอกครับ นานๆจะมีมาสักที อีกทั้งแกเป็นคนที่รูปร่างค่อนข้างผอม พอมาเจอกับอากาศหนาวขนาดนี้ ใครจะทานทนไหว และตัวของลุงสมเองร่างกายแกไม่ค่อยมีชั้นไขมันเท่าไหร่ เพราะแกผอมมากๆ มันจึงทำให้แกหนาวมากกว่าใครเป็นพิเศษ บวกกับอายุที่เยอะมากขึ้นอีก ภูมิคุ้มกันร่างกายก็ลดน้อยลง..และที่ผมกล่าวมานั้น ก็พอแล้วล่ะที่ไข้หวัดมันจะจ้องเล่นงานแก แล้วตอนที่เขาเอาแกออกไปหาหมอที่พ.บ อุณหภูมิของแกตอนนั้น มีไข้40องศาด้วยกัน แกจึงเกิดสภาวะ shock ขึ้นมาทำให้แกไม่ได้สตินั่นเอง.
“7 วันอันตราย อย่างที่พี่ใหญ่บอกจริงด้วยครับ ตอนแรกผมนึกว่าพี่พูดเล่นซะอีก “ไอ้แว่นบอกผม “แค่นี้มันพึ่งโหมโรง’..ไอ้แว่น! กูว่าแดนนี้อีกหน่อยตายไม่ต่ำกว่า 10 แน่เชื่อกู และมึงดูไว้นะไอ้แว่นพวกที่เป็นไข้ อาการดูหนักไม่ไหว ไอ้พวกนี้ไม่ตายหรอก น่าจะตายแน่ แต่ไม่ตาย มันจะตายก็พวกที่ไม่เคยเป็นอะไรเลย แบบแข็งแรงไม่เคยหาหมอเลยในคุก แต่พอมาเป็นทีเดียวตายห่าเลย ” ไอ้แว่นได้ฟังที่ผมบอกมันดูตกใจอยู่ไม่น้อย
“น่าสงสารคนที่ตายจริงๆ ” ไอ้แว่นพูดขึ้นมาลอยๆ แต่ในแววตาของมัน มันดูจะสงสารคนพวกนั้นจริงๆ
“สงสารตัวเองก่อนเถอะว่ะไอ้แว่น ก่อนที่มึงจะไปสงสารคนอื่น เอาตัวเองให้รอดให้ได้ก่อน ก่อนที่มึงจะไปช่วยคนอื่นเขา ความมีน้ำใจกูไม่ได้บอกว่ามันไม่ดี แต่ถ้าในทุกวันนี้ มึงยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย งั้นมึงก็อย่าเพิ่งไปช่วยเหลือคนอื่นเขาหรอก “ที่ผมพูดบอกไอ้แว่นไป ก็เพื่อทีจะดึงสติของมันให้กลับมาอยู่กับร่องกับรอยเดิม เพราะว่านิสัยจริงของไอ้แว่นนั้น มันเป็นคนขี้สงสารคน เป็นคนใจอ่อน ซึ่งนิสัยเหล่านี้ ใช้กับคนในคุกไม่ได้หรอกครับ มันต้องเด็ดขาด ชัดเจน คำไหนคำนั้น! เพราะคนคุกส่วนใหญ่มัน ดื้อ ยิ่งแก่ยิ่ง เหี้ย อะไรมันประมาณนี้ครับ..
แล้ววันนี้ก็เป็นวันแรก ที่ต้องทำงานแหกัน พวกเราบรรดาครูฝึกและหัวหน้าล็อค ต้องมีหน้าที่ทำหัวจอมกันก่อน แล้วค่อยคัดพวกทำหัวจอมอีกครั้งตอนกองงานเปิด จะมีทำปลา3 ซ.มกับ 4 ซ.ม ไว้เย็บงานกันด้วย
กองงานแหนั้นจะเปิดตัวจริง ๆ คือต้นเดือนมกราคมปีหน้า เหลือเวลาอีกเพียงเดือนกว่าๆ เราเองก็ยังไม่รู้ยอดที่แน่ชัด ว่ากองงานแหจะมีคนทำงานทั้งหมดกี่ร้อยคน แต่ว่าวันนี้ดูพวกเรากระตือรือร้นที่จะทำงานกันมากนักโทษที่พับถุงเสร็จแล้ว ก็ต่างมาดูมาขอลองทำหัวจอมดูกัน อย่างว่าล่ะครับ งานมาใหม่ๆ ใครก็สนใจอยากจะทำดูกันทั้งนั่น แต่พอให้มานั่งทำจริงๆตอนเปิดกองงาน ดูแล้วคงจะอีกหลายเหนื่อย กว่าจะเย็บแหกันเป็น
หลักการเย็บแหมีอยู่ด้วยกันง่ายๆ ตามขั้นตอนอยู่ 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่ 1 ทำติ่ง ขั้นตอนที่ 2 เก็บติ่ง ขั้นตอนที่ 3 เย็บฟรี เย็บวนไปอย่างนี้เรื่อยๆจนถึง 52 หรือ 54 รอบติ่งและหลังจากนั้นจะเป็นการเย็บฟรีไปยาวยันเสร็จ แล้วจะเย็บกันในความยาวที่ 7 ศอกกับ 8ศอก
การเย็บแหถ้าเราเย็บเป็นแล้ว มันก็ไม่ยากหรอกครับ ประเด็นสำคัญเลยคือ ห้ามผิดเป็นอันขาด ถ้าเราผิดแม้เพียงครั้งเดียว มันจะผิดหมดเลยยันเสร็จ ถ้าตัวเราไม่มานั่งตรวจทานดูละก็ บอกได้คำเดียวว่าเละครับ
ส่วนวิธีในการตรวจก็คือ เราจะดูติ่งทุกติ่งมันต้องตรงกัน ตั้งแต่ติ่งที่ 1 ยันติ่งที่ 52 มันจะเป็นแถวยาวลงมาตรงกันหมด ถ้าเราเช็คแล้วเป็นแบบนี้ถือว่างานผ่านครับ แต่ถ้างานอันไหนเราเช็คแล้ว ติ่งมันเบี้ยว เราก็ต้องแก้จากจุดนั้นเลยครับ การแก้งานนั้นยากกว่าการเย็บแหหลายเท่า ผู้เขียนเองก็แก้งานไม่ค่อยเป็น ไม่ค่อยเก่งครับ ที่ผมเก่งก็คือการเย็บแหอย่างเดียว มันก็เพลินดีไปอีกแบบนะครับ ค่าเวลาไปได้ดีทีเดียว….(โปรดติดตามตอนต่อไป) “หมีขาว ชั่ว โลกเหนือ “# คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่53
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun