คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่ 62
บทที่ 62 กำลังใจ
“ทุกการดำเนินชีวิตต่างก็มีความหวัง เพราะความหวังคือสิ่งที่ทำให้เรามีแรงและพร้อมก้าวเดินหน้าต่อไป กำลังใจก็จะช่วยเสริมสร้างพลังให้กับวันที่ท้อแท้ เพื่อส่งเสริมให้เราเดินทางไปตามสิ่งที่เราหวังเอาไว้”
** ทักทาย…เพื่อน ๆ ทุกคนที่ยังติดตามอ่านกันอยู่นะครับ คงจะมีความสุขกันนะสำหรับวันสุดท้ายของเดือน( เงินเดือนออก ) แต่มีบางคนกลับบอกว่า “สิ้นเดือนเหมือนสิ้นใจ” เพราะต้องเจอกับค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าน้ำค่าไฟ และอะไรอีกจิปาถะ คิดแล้วก็ปวดหัวใช่ไหมครับ ยิ่งโตภาระมันก็ยิ่งโตตามไปด้วย ผมเองก็เช่นกันครับไม่ต่างกัน..งั้นเรามาเปลี่ยนเรื่องคุยกันดีกว่า อัปเดทสถานะการณ์น้ำท่วมให้ฟังกันดีกว่า ในตอนนี้น้ำที่ท่วมบ้านผู้เขียนในรอบที่สองกำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง จนจะกลับสู่ภาวะปรกติอยู่แล้ว
แต่ว่าวันนี้ฝนกลับมาตกอย่างหนักมาก ๆ จนน้ำที่ลดกลับมาเพิ่มอีกครั้ง และมันก็คงที่ไม่ลดไม่เพิ่มจนถึงตอนนี้ ผู้เขียนยังลุ้นอยู่เลยว่า..ถ้าคืนนี้หลับแล้วเช้านี้ตื่นมาดูน้ำมันจะเพิ่มหรือลด ถ้าเพิ่มขึ้นมาอีกมันก็จะกลายเป็นน้ำท่วมรอบ 3 แต่ถ้าลดลงอยู่ก็จะได้เวลาทำความสะอาดบ้านล้างบ้านสักที น้ำท่วมมันเป็นอะไรที่หน้าเบื่อจริง ๆ นะครับ **
28 ธ.ค. 58 วันสุดท้ายของวันทำงานและวันเยี่ยมญาติของแดนนี้อีกด้วย เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เกือบจะเที่ยงคืน เช้านี้ตื่นมาก็เลยรู้สึกมึนหัวนิดหน่อยบวกกับอากาศที่หนาวกำลังพอดี ผมเลยคิดว่าวันนี้พอขึ้นโรงงานมาแล้วก็จะนอนให้มันเต็มที่เลยทีเดียว “กาแฟร้อนมาแล้วครับพี่” เสียงของไอ้แว่นร้องบอกกับผม
“กูกะว่าจะไม่กินกาแฟซักหน่อยวันนี้ แต่ก็อดไม่ได้กลิ่นกาแฟมันเตะจมูกกูซะขนาดนี้ มึงต้องเปิดร้านกาแฟจริง ๆ นะไอ้แว่น” ผมบอกย้ำไปกับไอ้แว่นถึงเรื่องเปิดร้านกาแฟ ซึ่งผมมักจะบอกชมกับมันอยู่เป็นประจำ
“แล้วทำไมพี่ถึงคิดจะไม่กินกาแฟละวันนี้” ไอ้แว่นถามผมถึงเรื่องที่มันสงสัย ” กูอยากจะนอน ” ผมตอบกับไปสั้น ๆ แต่พอผมได้กินกาแฟของไอ้แว่นที่ชงมาให้เข้าไปมันจึงทำให้รู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมาบ้างเล็กน้อย “พี่คงจะง่วงนอนมากจริงด้วย” ไอ้แว่นมองหน้าผมแล้วพูดขึ้นมา
“ทำไมว่ะ” ผมถามกับมัน “ก็หน้าตาพี่มันดูไม่สดชื่นขึ้นเลย เพราะทุกครั้งมันไม่เป็นแบบนี้” ผมพยักหน้ายอมรับกับมันไปและมันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ เพราะผมนั้นพอขึ้นมาถึงบนโรงงานก็นอนหลับแทบจะในทันที..
ผมหลับไปนานเลยทีเดียวเพราะตื่นขึ้นมาผมรู้สึกหิวเป็นอย่างมาก มองดูเวลาตอนนี้ก็ใกล้เที่ยงแล้ว นี่เราหลับไปนานขนาดนี้เลยหรอเนี้ย “ตื่นแล้วไงพี่ใหญ่เอากาแฟสักแก้วก่อนไหมพี่” ไอ้แว่นที่เห็นผมตื่นขึ้นมาแล้วพูดบอกกับผม “อืม..สักแก้วก็ดีเหมือนกัน” ผมบอกกับมัน ไอ้แว่นจึงสั่งกาแฟจากร้านไอ้เจ๋งมาให้ผม 1 แก้ว
“นี่พี่กาแฟส่วนนี่ข้าวกระเพราหมูใช่ดาว
รู้อยู่ว่าต้องหิว” ช่างเป็นน้องที่รู้ใจพี่ซะจริง ผมนึกในใจและก็รับเอาไว้ “แล้วมึงละไม่กินไง เออ..แล้วมึงเยี่ยมญาติรึยัง ” ผมถามกับมันไป “ผมกินเรียบร้อยไปนานแล้วพี่ และแม่ก็มาเยี่ยมแล้วครับ” นี่คือคำตอบจากมัน
ผมนั่งกินข้าวกระเพราหมูที่ไอ้แว่นซื้อมาให้อย่างเอร็ดอร่อย มันคงจะมาจากความหิวของผมด้วยเป็นแน่ ๆ เพราะว่าไม่ถึง5นาทีก็หมดเกลี้ยง พร้อมกับกระดกกาแฟรวดเดียวหมดแก้วไปเลยอีกด้วย พอหนังท้องตึงหนังตามันก็เริ่มจะหย่อน ผมรู้สึกง่วงขึ้นมาอีกครั้ง จึงคิดที่จะนอนหลับต่อไปอีก เพราะว่าในตอนนี้นั้นหน้าที่ของผมที่ผมได้รับมอบหมายมาให้รับผิดชอบกองงานที่จะเปิดใหม่ในวันเปิดทำการ
ผมเองก็จัดการทำเสร็จไปเป็นที่เรียบร้อยและอีกอย่างอากาศวันนี้มันก็เย็นสบายน่านอนซะเหลือเกิน จนทำให้ความขี้เกียจเข้ามาครอบงำ จนผมไม่คิดที่จะอยากทำอะไรทั้งนั้นนอกจากนอน นอน และ นอน ลูกเดียว ดังนั้นผมจึงทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง โดยที่ไม่ได้สนใจสายตาของไอ้แว่นแม้แต่น้อย ที่มันมองมาทางผมอย่างมีอาการที่ส่งสัยเป็นอย่างมาก…“ไอ้แว่นปลุกพี่ตอนอาบน้ำด้วยนะ” ผมได้บอกกับมันไว้เพื่อให้มันรู้ว่า อย่ารบกวน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม มันจึงได้พยักหน้ารับปากกับผมไว้แค่นั้น
“พี่ใหญ่ ๆ ตื่นได้แล้วพี่จะได้เวลาอาบน้ำแล้วนะครับ” เสียงปลุกของไอ้แว่นมันดังแว้ว ๆ เข้ามาในหูของผมพร้อมกับเขย่าตัวของผมไปด้วย ตัวผมเองนั้นก็ค่อย ๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างช้า ๆ พร้อมกับอาการของคนที่นอนจนมากเกินไป มันเลยรู้สึกตื้อ ๆ มึน ๆ จนบอกไม่ถูก ดังนั้นผมจึงหันมาสั่งกาแฟกับไอ้เจ๋ง “เจ๋งขอกาแฟเข้ม ๆ แก้วนึง” ผมคิดว่าถ้าได้กินกาแฟสักแก้วมันคงจะดี และคงจะทำให้อาการปวดหัวที่ผมเป็นอยู่มันได้ทุเลาลงไปบ้าง
ไม่นานนักกาแฟร้อน ๆ จากฝีมือของเพื่อนผมก็ยกเอามาเสิร์ฟไว้ตรงหน้า ผมจึงยกกาแฟขึ้นมาดื่มและมันก็ถูกต้องอย่างที่ผมคิดไว้เลยว่าการกินกาแฟมันช่วยเราได้ ผมรู้สึกดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ หลังจากนั้นผมก็ค่อย ๆ จิบกาแฟเข้าไปที่ละนิด ๆ เพื่อให้หัวสมองมันได้เรียบเรียงระบบให้เข้าที่เข้าทาง แล้วจะได้ไปอาบน้ำชำระร่างกายให้มันสดชื่นขึ้นมาสักที
“ตื่นแล้วไง..ชิบหายนอนตายยังกับคนน็อคม้าเรยนะมึง” ไอ้บอยดำร้องทักผมขึ้นมา ที่เห็นผมเดินเข้ามาอาบน้ำข้างมัน “อืม..ไม่รู้เป็นอะไรว่ะวันนี้ กูแม่งอยากจะนอนทั้งวันไม่อยากจะทำอะไร “ นี้คือคำตอบจากตัวของผม “แล้วคืนนี้พี่จะนอนหลับไหมเนี้ย กลางวันนอนซะขนาดนี้” ไอ้แว่นทักผมขึ้นมาบ้าง ในขณะที่ตอนนั้นตัวมันเองก็กำลังขัดจรวดอยู่ในบล็อคส้วม
“ชักx่าวอยู่นี้เองนะมึง กูก็มองหาไปเถอะว่ามึงอยู่ไหนหมอบอยู่นี่เอง ” ผมพูดแซวมันขึ้นมา “แล้วพี่ละจะไปเที่ยวกับผมรึป่าว ถ้าไม่ไปผมจะได้เอาน้องเขาไปส่งแล้ว” ไอ้แว่นถามกับผม ผมจึงส่ายหน้าบอกมันไป มันก็เลยลุกขึ้นเพราะมันถึงฝั่งฝันเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว มันจึงจะเอาน้องเขาไปส่งให้กับเจ้าของเขาสักที
เหลือเพียงผมกับไอ้บอยดำเพียงสองคนที่กำลังอาบน้ำอยู่ ผมกับมันจึงคุยกันไปอาบน้ำกันไป มันบอกผมว่าไอ้หมีกับไอ้ฮาทร์ สองคนนี้จะย้ายมาในรอบที่จะถึงนี้ หลังวันหยุดยาวเป็นที่แน่นอน เพราะไอ้บอยดำได้ส่งรายชื่อให้กับป๋าบัติลูกพี่ของมันไปแล้ว “ย้ายมาได้สักที คราวนี้จะได้ครบแก็งค์ ” ผมพูดขึ้นมา ไอ้บอยดำมันก็ได้แต่ยิ้ม ๆ แต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ..
หลังจากที่ได้อาบน้ำสระผมเสร็จ ตัวของผมก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเป่าเป็นอย่างมากเลยทีเดียว ก่อนที่จะลงจากโรงงานผมและไอ้แว่นต่างช่วยกันนำของกินของใช้ ที่คิดจะเก็บเอาไว้กินในวันหยุดยาวปีใหม่นี้กัน เพราะมันหยุดยาวตั้ง 7 วันเลยทีเดียว “โห้ไอ้แว่นทำไมมึงให้แม่เขาซื้อของฝากมาตั้งมากมายขนาดนี้ว่ะ กูก็บอกมึงตั้งหลายครั้งแล้วว่าเอาแค่กาแฟ 2ชุดก็พอ” ผมได้เห็นของฝากที่แม่ไอ้แว่นซื้อมาให้เกือบจะสามพันบาท ผมจึงได้ต่อว่ามันไป
“เขาซื้อมาให้เองพี่ผมไม่ได้สั่ง ผมบอกกับแม่เอาแค่กาแฟกับขนมปัง ไว้กินกับกาแฟตอนเช้าเท่านั้นเอง ” ไอ้แว่นรีบบอกกับผม ผมเองก็ได้แต่ส่ายหน้า ในใจก็รู้ว่าแม่ไอ้แว่นนั้นเป็นห่วงและรักมันมาก ๆ คงกลัวลูกชายจะอดก็เลยซื้อมาเยอะขนาดนี้ นี่แหละครับความรักของผู้เป็นแม่ มันคือรักแท้ของจริง รักที่ไม่เคยทำร้ายเราให้ต้องเจ็บและเสียใจ ความรักที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พอนึกถึงเรื่องแบบนี้ขึ้นมามันจึงทำให้ผมรู้สึกน้อยใจ ที่จนป่านนี้แล้ว มันก็ยังไม่มีใครคิดที่จะมาเยี่ยมผมเลยสักคน
แต่คิดไปก็เท่านั้นมันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา (ผมคิดในใจ) จากนั้นพวกเราจึงเดินตรวจตราความเรียบร้อยกันอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจ ก่อนที่จะปิดประตูโรงงาน และตรงไปในโรงเลี้ยงเพื่อกินข้าวเย็น…ขณะที่ผมกำลังนั้งกินข้าวอยู่นั้น เสียงประกาศเยี่ยมญาติรอบสุดท้ายก็ได้ดังขึ้น ชื่อแรกที่ผมได้ยินเต็มสองรูหูนั้น แทบทำให้ช้อนผมหลุดมือลงจานข้าวเลยทีเดียว เสียงโห่ร้องแสดงความยินดีมันได้ดังขึ้นมาจากวงข้าวหลายวงที่ผมรู้จัก ผมรู้สึกงงจนทำอะไรไม่ถูก มันไม่ทันที่ผมจะได้ตั้งตัวเลยกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เอ๊าพี่ใหญ่..เอาเสื้อฟ้าผมใส่ไปเยี่ยมญาติก่อนเลยพี่ ” ไอ้นุเด็กน้อยที่แสนจะน่ารัก ลุกขึ้นยืนถอดเสื้อที่มันใส่อยู่ยื่นมาให้ผม ” ไปเร็ว ๆ ดิพี่รอบสุดท้ายแล้ว ใครออกไปก่อนก็ได้เยี่ยมนานนะพี่ ” ไอ้นุมันก็พูดกระตุ้นผมอีกครั้ง ในตอนนั้นผมยอมรับเลยว่า หูของผมมันดับเลยก็ว่าได้ ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยรอบตัว ทั้งที่สายตาของผมนั้นเห็นว่าใครหลายคนกำลังพูดกับผมอยู่ ทั้งไอ้แว่น ไอ้บอยดำ ไอ้ต้น และใครอีกมากมาย
ผมจึงรีบดึงสติของตัวเองให้กลับมาอย่างเร็ว แล้วจึงรีบเปลี่ยนเสื้อที่ไอ้นุเอามาให้ ก่อนที่จะสปีด 100 เมตรชาย ตรงไปยังห้องเยี่ยมญาติในทันที…ใจที่เต้นแรงแทบจะออกมานอกอก มันคืออาการเหนื่อยของคนที่รีบวิ่งมา หรือ มันคืออาการของคนที่กำลังตื่นเต้นอยู่กันแน่ ผมเองก็ยังไม่เข้าใจว่าตัวกูนั้นเป็นอะไรกันแน่เพราะผมก็ไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน พยามทำตัวให้ปรกติมันยังทำไม่ได้เลย
ผมรวบรวมความกล้าอยู่หน้าทางเข้าห้องเยี่ยม ก่อนที่ขาทั้งสองข้างได้ก้าวเข้าไปในห้อง พร้อมกับสอดส่ายสายตามองไปยังอีกฝั่งนึงของห้องที่มีลูกกรงและกระจกกันกลางเอาไว้ และแล้วสายตาทั้งคู่ต่างประสานเข้าหากัน ร่างกายของผมเดินไปหาชายคนนั้นอย่างอัตโนมัติ
ผมไม่อาจจะละสายตาไปจากชายคนนั้นได้เลย ภาพจำต่าง ๆ มากมาย ระหว่างผมกับชายคนนั้นวิ่งเข้ามาในหัวของผมอย่างไม่หยุด ตั้งแต่วัยเด็กของผมเรื่อยมาจนโต แล้วขาทั้งสองข้างของผมก็ได้หยุดลงตรงหน้าชายคนนี้ ผมนั่งลงและยกโทรศัพท์ขึ้นมาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า
” สวัสดีครับป๋า ” เกือบ 6 เดือนเต็มที่ไม่ได้เจอกัน ความทรมานที่อยู่ในจิตรใจของผมที่ไม่มีใครช่วยได้ ความคิดถึงและเป็นห่วงที่ผมมีมาตลอด 6เดือน กำลังใจที่ดีที่สุดของผม ความรักที่ให้กับผมนั้นบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง ผมดีใจเหลือเกินครับดีใจจนพูดอะไรไม่ออก
” เป็นไงบ้างลูกชาย แม่เขาฝากเงินมาให้ 2000 นะ ส่วนของฝากป๋าซื้อไม่ทันมันปิดหมดแล้ว เราอยากกินอะไรก็ซื้อเอาเองนะ ” ผมไม่สามารถจะกลั่นน้ำตาเอาไว้ได้อีกแล้ว มันไหลออกมาราวกับทำนพแตก ผมได้แต่พยักหน้าเข้าใจในสิ่งที่ป๋าผมบอกให้เข้าใจ มันจุกอกจนพูดอะไรไม่ออก
“ผมขอโทษกับทุกเรื่องที่เกิดขึ้นนะครับป๋า ผมคิดถึงป๋ากับแม่มากเลยครับ ผมเองสบายดีแล้วป๋าละสบายดีรึป่าวแม่ละเป็นไงบ้าง ” กว่าจะพูดออกมาได้ก็ตอนที่ผมหยุดร้องไห้แล้วนั้นเอง
“ไม่เป็นไรนะใหญ่ ป๋าให้อภัยลูกได้เสมอ ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายนะ คิดให้ได้ละลูกชาย ส่วนแม่เขาสบายดี แม่เขาบอกว่าไม่อยากมาเห็นมึงในสภาพนี้ เขาทำใจไม่ได้ รับไม่ได้ ” ป๋าบอกให้ผมฟัง
ผมเข้าใจแม่ผมดีว่าท่านนั้นเป็นคนอย่างไร ปากร้ายแต่ใจดี นี้แหละคือท่าน ผมรู้ว่าถ้าแม่มาแค่เห็นผมเดินเข้ามา ท่านก็ร้องไห้แล้ว “ครับผมรู้ ฝากความคิดถึงไปให้แม่ด้วยนะป๋า ” ผมบอกกับป๋า ป๋าก็รับปากว่าจะบอกให้ เราสองคนต่างก็คุยกันอีกหลายเรื่อง ทั้งเรื่องน้องชายของผมและน้องสาวผมด้วยอีกคน ทุกคนสบายดีและได้ฝากความคิดถึงมาหาผมด้วย ได้ฟังดังนั้นผมจึงยิ้มออกมา ผมรู้สึกว่าเราสองคนนั้นได้คุยกันอยู่นานมาก ๆ เป็นครึ่งชั่วโมงก็ว่าได้
ผมนั้นมีความสุขมากเหลือเกิน กำลังใจที่ผมได้รับจากป๋าของผมมันช่างมากมายเหลือเกิน มันได้เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในใจของผมจนเต็ม ผมไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ขอแค่นี้ผมก็พอใจแล้วครับ ผมนึกในใจ และแล้วก็หมดเวลาเยี่ยมญาติลงไป ผมกับป๋าต่างคนก็ต่างรำลากันเป็นครั้งสุดท้าย ดูแลตัวเองกันดีๆนะครับ” ..
“เช่นกันลูกชาย เจอกันใหม่เดือนหน้านะ เดือนละครั้งนะใหญ่ ” นี้คือคำพูดที่ป๋าได้บอกเอาไว้กับผม เจอกันเดือนละครั้งมันก็เพียงพอสำหรับตัวผมแล้วครับ แล้วผมก็เดินออกไปจากห้องเยี่ยมอย่างช้า ๆ และไม่ว่าจะกี่ครั้งที่ผมหันหลังไปมอง ก็จะเห็นป๋าของผมยืนมองผมอยู่อย่างนั้นและไม่ขยับไปไหน เขารอดูผมจนกว่าผมเดินออกไปจากห้องเยี่ยม เขาถึงจะเดินออกมาที่หลัง
รอยยิ้มไม่ยอมหายไปจากหน้าของผมง่าย ๆ เลยในตอนนี้ มันเหมือนผมได้ยกภูเขาออกจากอกก็ว่าได้ ไม่มีอะไรที่ต้องให้ผมกังวลใจอีกแล้ว..ไม่มีแล้วจริง ๆ ( โปรดติดตามตอนต่อไป ) ” หมีขาว ขั้ว โลกเหนือ # คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่ 62
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun