คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่4
บทที่4. เรื่องเล่าภายในคุก 3
“จงอย่าแสดงบาดแผลให้ใครเห็น เพราะเราไม่รู้หรอกว่าคนไหนใส่ยา คนไหนใส่เกลือ”
ความอ่อนแอ…เราเคยสัมผัสมากันทุกคน จะมากหรือน้อยมันก็อยู่ที่ความแกร่ง…ของใจคน เข้มแข็งและอดทนต่อทุกสถานการณ์ที่ถ่าโถมเข้าใส่ แต่ไม่ว่าคน คน นั้นจะแกร่งดังหินผาเพียงใด ก็ต็องมีวันอ่อนแอ และผมก็เป็นอีกคนที่อ่อนแอ แต่ความไม่ได้อ่อนแอที่ผมมีผมสามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้ ไม่เคยแสดงออกมาให้ใครเห็นเลย แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดในคุกมันก็ไม่เคยเห็น พวกเพื่อนที่กินอยู่ด้วยกันในคุก เป็นบ้านเป็นครอบครัวผมก็ไม่ให้รู้ จึงทำให้ใครหลายคนเห็นผมเป็นหลักพึ่งพาได้ ใช่แล้ว อย่าแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น “เพราะเราไม่รู้หรอกคนไหนทายาคนไหนทาเกลือ”ที่เขาบอกว่า”คนล้มห้ามข้าม”มันถูกต้องแล้ว แต่ในคุก”คนล้มมีแต่พวกจ้องจะเหยียบซ้ำ”ไม่ชอบเห็นใครได้ดี มีแต่พวกหน้ายิ้มให้มือซ่อนมีดกันทุกคน … ผมขอใช้วลี”เด็ดในหนังเรื่อง2499 อันธพาลครองเมืองที่จ่าพูดกับแดงว่า“ที่นี่แม่งเถื่อนไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้”
ถ้ามึงอยากมีบท”มึงก็ต้องเข้ามาในเกม แต่ถ้าไม่อยากเสี่ยง ก็จงอยู่อย่าง”เสี่ยวเป็นไอ้เป๋อ” ไอ้ป่อง”ไป นิ่งๆเงียบๆอย่ามีเสียง..
หลังจากที่ผมออธิบายเรื่องกองงานไปแล้ว ต่อไปก็จะเป็นโรงอาหาร(โรงเลี้ยง)ที่มีไว้ให้เรานั้นกินข้าวเพื่อประทังชีวิตกัน…ในแต่ละวันหลัก ๆ เลยก็ 2 มื้อคือเช้ากลับเย็น แต่ทางเรือนจำได้จัดให้ 3 มื้อต่อวันอยู่แล้ว มื้อเช้าจะเป็นพวกต้มจืดเป็นส่วนใหญ่ หรือไม่ก็แกงฟักทองไก่รสไม่จัด ส่วนต้มจืดก็จะเป็นต้ม
จืดผักกาดดอง ต้มจืดกะหล่ำปลี ต้มจืดหัวไชเท้า มื้อกลางวันส่วนมากจะเป็นข้าวต้มไก่หรือไม่ก็ข้าวต้มกุ๊ยผักกาดดอง หัวไชโป๊ผัดไข่ จะมีพิเศษหน่อยก็คือวันพุธสัปดาห์ที่2 วันอังคารสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนจะเป็นราดหน้าไก่ ผัดซีอิ๊วไก่
ส่วนมื้อเย็นเป็นมื้อที่ต้องหนักท้องเข้าไว้เพราะกินกันตอนประมาณ 14:00 น เมนูหลักๆก็คือแกงฟักทองไก่ ต้มยำปลาสวาย ปลาร้าทรงเครื่อง เกาเหลาลูกชิ้น พะโล้ ส่วนเมนูผัดกับข้าวอีก 1 อย่างส่วนมากก็จะเป็นฟักทองผัดไข่ ผัดผักบุ้ง ผัดผักกวางตุ้งถั่วงอกผัดเต้าหู้ แตงกวาผัดไข่ เมนูทั้งหมดเป็นเมนูประจำเดือน อ่านดูแล้วมันดูน่ากินใช่ไหมคุณผู้อ่าน
คุณผู้อ่านเข้าใจความหมายคำว่า “สวยแต่รูปจูบไม่หอมกันรึป่าวครับ” เพราะรสชาติอาหารมันตรงตามความหมาย ของสำนวนที่ได้กล่าวเอาไว้เลย พวกผมก็เลยต้องเบิกกับข้าวมากินกันทุกวัน ตกวันละ300บาท(กับข้าวถุงละ30บ.) ต่างคนก็สลับสับเปลี่ยนกันเบิก ในบ้านมีกี่คน เบิกเหมือนกันทุกคนจะได้ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบกัน ตัดปัญหาที่จะมามีคำพูดกันทีหลังส่วน…พวกที่ไม่มี ก็ต้องรับซักผ้าพวกผมไป ” เงินไม่มีออก ออกแรงก็ยังดี
ในเมื่อเรามาอยู่รวมกันเป็น สังคม”เป็นกลุ่ม ต่างมาจากร้อยพ่อพันแม่ เราก็ต้องมีกฎหมู่ขึ้นมาให้ปฏิบัติร่วมกัน
กฎระเบียบในบ้านที่ผมตั้งไว้มีไม่กี่ข้อหรอกครับ
1.อย่าทาเลาะกันเอง.
2.อย่าเอาเปรียบกัน
5.อย่าสร้างปัญหาให้ในบ้านเดือดร้อน
3.อยู่ด้วยกันต้องช่วยกัน
4.อย่าเป็นหนี้
5.อย่าสร้างปัญหาให้ในบ้านเดือดร้อน
แค่นี้เอง..เราก็อยู่ร่วมกันได้ไม่มีปัญหา แต่อย่างว่าพวกเราส่วนมากก็รู้จักกันมาตั้งแต่ข้างนอกแล้ว เป็นเพื่อนกันมาก่อน พอมาเจอกันข้างในก็มาอยู่ด้วยกันอีก ในเมื่อเคมีมันตรงกันมาก่อน ปัญหา ก็เลยไม่ค่อยมีเป็นธรรมดา
เรามาฟังเรื่องโรงเลี้ยง(อาหาร)กันต่อดีกว่า อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่า เรือนจำแห่งนี้มีนักโทษมากเกินไปจึงทำให้การเข้าไปรับประทานอาหารในโรงเลี้ยง ต้องแบ่งเป็นรอบ ๆ รอบแรกคนแก่ คนชรา พิการและพวกกองกลาง และ โยธาแดน ส่วนรอบ 2รอบ 3 โรงงาน 1 กับโรงงาน 3 และก็อย่างที่ผมเคยบอกเอาไว้ ว่าสภาพแวดล้อมในคุกมันเต็มไปด้วยคนที่เห็นแก่ตัว แล้ว ก็เห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว อีกทั้งในตอนนี้ นักโทษในแดนมีจำนวน 1,700 คน มันจึงทำให้เกิดปัญหากับข้าวโรงเลี้ยง ไม่พอต่อความต้องการของจำนวนนักโทษ 2.การกักตุนข้าวและกับข้าวของเหล่านักโทษที่มีหน้าที่รับผิดชอบในโรงเลี้ยงที่เก็บเอาไว้ขายบรรดานักโทษด้วยกัน มันเป็นช่องทางหารายได้ของนักโทษอีกประเภทหนึ่ง พวกนักโทษที่ผูกกับข้าวกับโรงเลี้ยง ก็จะได้ข้าว ได้กับข้าวที่เต็มไปด้วยเนื้อสัตว์ของเมนูวันนั้น ส่วนนักโทษธรรมดาสามัญทั่วไปก็ต้องรับสภาพ กับน้ำต้มแล้วก็ผักเท่านั้นเอง อันที่จริงแล้วเรือนจำ ทำกับข้าวมากพอที่จะเลี้ยงนักโทษทุกคนในเรือนจำ และ มันดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำแต่ที่ผมบอกว่าไม่พอมันเป็นการจัดสรรปันส่วนของเรานักโทษด้วยกันเองมากกว่า
สัมปทานในโรงเลี้ยงเราผูกกันแบบรายเดือนยืนพื้นเลยเดือนละ 300 บาทก็จะมีข้าวตามจำนวนของนักโทษในบ้านนั้น และก็แกงอีก 2 ถ้วยใหญ่แต่ถ้าราคาเกิน 300 บาทต่อเดือนอันนี้ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายนั้นเอง สัมปทานในโรงเลี้ยงไม่ได้ผูกขาดแค่เจ้าเดียว มันผูกขาดแบบกระจายกันไป ตามจำนวนนักโทษที่มีหน้าที่รับผิดชอบในโรงเลี้ยง พนักงานโรงเลี้ยง1 คนก็จะมี ข้าว1หม้อแกงอีก 1หม้อกับการรับผิดชอบนักโทษจำนวน 40 คนเก็บไว้ขายครึ่งนึงที่เหลือก็จัดให้นักโทษ 40 คนเหล่านั้นได้กิน คุณผู้อ่านก็ลองคิดดูแล้วกันนะครับ ว่าใน 40 คนนั้นมันจะเหลืออะไรให้ได้กิน..
ก็อย่างที่ผมเคยพูดไว้ในบทที่แล้ว ว่า ทุกตำแหน่งหน้าที่ในแดนถ้าให้นักโทษได้ดูแล มีบทบาทแล้วล่ะก็มันจะเกิดการซื้อขายกันเป็นช่องทางทำเงินให้แก่เหล่านักโทษที่ต่างคนต่างก็แสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวโดยที่ไม่คำนึงถึงพวกนักโทษด้วยกันที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เหล่านั้น ความโหดร้ายในคุกมันไม่ได้เป็นเพราะตัวคุก แต่มันเป็นเพราะคนที่อยู่ในคุก ทุกคนต่างมาคนละสถานที่ “ร้อยพ่อพันแม่ หมื่นแสนนิสัย “ความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ มันจึงทำให้”คุก”ซึ่งเป็นแค่สถานที่ ที่มีไว้ กักขังผู้กระทำผิด” แต่เป็นเพราะสิ่งต่างๆที่คนคุกทำไว้ ได้หลอมรวมของเดิมที่มีอยู่แล้ว มันจึงกลายเป็น “คุก” กับคำพูดติดปาก ของคนทั่วไปว่า “คุกมันน่ากลัว” แต่ผมว่า”คน”ต่างหากที่น่ากลัว กว่า “คุก”หลายเท่านัก
อันที่จริงนั้น คุก มันเป็นสถานที่เอาไว้จองจำผู้กระทำผิด เป็นบทลงโทษทางสังคม จุดประสงค์ของคุกนั้น เอาไว้ขัดเกลาจิตใจผู้กระทำผิดทั้งหลาย ที่ถูกจองจำอยู่ในที่นี้ ได้กลับตัวกลับใจกลายเป็นคนดีเพื่อที่พ้นโทษไปแล้ว จะ สามารถอยู่ร่วมกับสังคมส่วนใหญ่ภายนอกได้ ….แต่พอนานไป วันเวลาเปลี่ยน ยุคสมัยได้เปลี่ยน จนปัจจุบันนี้การเกรงกลัวต่อบาป ซึ่งมนุษย์ควรมีอยู่ในใจกันทุกคน บัดนี้มันหมดลงแล้วซึ่งความเกรงกลัวเหล่านั้น มันจึงทำให้ความหมาย และ จุดประสงค์ของคำว่าคุกได้เปลี่ยนไป จนทุกวันนี้คุกได้กลายเป็นสถานที่ขัดเกลาเหล่าบรรดาอาชญากรทั้งหลายให้มีความสามารถในการกระทำผิดมากขึ้น เป็นสถานที่ตักตวงผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม มันจึงทำให้ การคืนคนดีสู่สังคมที่ทางกรมราชทัณฑ์ตั้งใจทำ ได้กับกลายเป็น การคืนความเลวร้ายกลับสู่สังคม ซึ่งปัจจุบันนี้ก็เน่าเฟะอยู่แล้วให้หนักกว่าเดิม..
โรงเรียนคือสถานที่ ที่ให้การศึกษาหาความรู้ ในคุกก็เช่นกัน เป็นสถานที่ให้ความรู้ แนะแนวทาง เสริมทักษะวิชา ในแขนงต่างๆของเหล่านักโทษที่มีติดตัวกันมา แลกเปลี่ยนความรู้วิชาชีพให้แก่กัน มันจึงทำให้คุก ได้กลับกลายเป็นสถานที่เสริมเขี้ยวเล็บ ให้กับเหล่าบรรดานักโทษ ผู้ที่ยังไม่คิดที่จะกลับตัวกลับใจ และ ละลายพฤติกรรมที่เคยทำมา แต่ คนพวกนี้จะเสาะแสวงหา วิชาความรู้ใหม่ๆกับ บรรดานักโทษด้วยกันเอง เพื่อที่จะได้ออกไปแก้ตัว กับสิ่งที่มันเคย ผิดพลาดมาในอดีต เพื่อที่คราวนี้ มันจะไม่พลาดถูกจับ กลับ เข้ามาในนี้อีกครั้ง แต่ใช่ว่าในคุกจะมีแต่คนประเภท ไม่คิดที่จะกลับตัวกลับใจเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนใหม่ “เหรียญมัน มี สองด้านเสมอ” คนที่คิดกลับตัว กลับ ใจ มันก็มีอยู่ให้เห็นถึงแม้มันจะบางตา พวกเขาเหล่านั้น เอาคำว่า”คุก”มาใช้เป็นบทเรียนในชีวิต เพื่อคุมจิตใจตัวเองให้แน่วแน่ ทำแต่ความดี ให้เตือนสติตัวเองอยู่เสมอ ว่าอย่าไปหลงกลกับเหล่าอบายมุขทั้งหลาย ที่มันมีแต่คอยยั่วยวนจิตใจ ให้เราหลงเดินทางผิด กลับไปหาพวกมันอีกครั้ง
“และคุณผู้อ่านล่ะครับ”อยากจะเป็นด้านไหนของเหรียญ ก็สุดแล้วแต่ใจพวกคุณเลยครับ เพราะชีวิตนี้เป็นของเราผ”ใช้มันซะ” แล้วพบกันใหม่ตอนหน้า มันจะเป็นเรื่องอะไรนั้น อดใจรอไม่นานหรอกครับ จนกว่าเราจะได้พบกันใหม่ สวัสดีครับ (หมีขาว ขั้ว โลกเหนือ)
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending