Anime

มหาศึกคนชนเทพ บิชามอนเทน (Record of Ragnarok)

มหาศึกคนชนเทพ บิชามอนเทน (Bishamonten)

(ท้าวเวสสุวรรณ หรือ บิชามอนเทน) 

ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในตัวแทนฝั่งเทพที่เข้าร่วมศึกครั้งนี้ ท้าวเวสสุวรรณเป็นองค์เทพที่มีอยู่ในศาสนาฮินดูของอินเดีย เป็นเทพที่ถูกขนานนามว่าเป็นเจ้าแห่งยักษ์ทั้งปวง มีหน้าที่ในการดูแล กฎระเบียบต่างๆของทั้งโลกมนุษย์เองและกฎของโลกของเทพเช่นกัน ท่านพร้อมที่จะปกป้องต่อคนที่ซื่อสัตย์ต่อกฎและรู้จักหน้าที่ของตน  ด้วยการที่เปรียบเสมือนผู้คุมกฎนี้เอง จึงทำให้ท้าวเวสสุวรรณเป็นหนึ่งในเทพที่มีพลังและความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ส่วนในตำนานของทางญี่ปุ่นจะเรียกว่า บิชามอนเทน ทำหน้าที่คล้ายกันกับท้าวเวสสุวรรณแต่จะแตกต่างตรงที่ ทางญี่ปุ่นจะถือว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดเทพแห่งโชคลาภ  จนเมื่อกฎแรคนาร็อกถูกประกาศใช้ ท้าวเวสสุวรรณเอง ก็ได้เข้าร่วมด้วยในบททดสอบ ที่มนุษย์จะสามารถฝืนชะตาตัวเองได้ไหม สำหรับท่านแล้วการเข้าร่วมศึกในครั้งนี้ ยังเป็นการประกาศศักดาของเทพ และย้ำเตือนถึงหน้าที่ที่มนุษย์พึงมี ต่อเหล่าทวยเทพ…

ประวัติแห่งยุค เทพในพุทธศาสนาและฮินดู (อินเดีย)

บิชามอนเทน หรือ ท้าวเวสสุวรรณ คือเทพองค์เดียวกัน แต่ถูกเรียกต่างกัน ตามแต่ละนิกายที่รับมา โดยชื่อ บิชามอนเทน จะถูกกล่าวถึงว่าเป็นหนึ่งใน 7 เทพแห่งโชค ของพุทธนิกายชินโต ประเทศญี่ปุ่น มีหน้าที่คอยปกป้องพุทธศานาในประเทศญี่ปุ่น รวมถึงทำการกำราบพวกภูตผีร้ายที่มุ่งหวังจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ส่วนถ้ามาทางอินเดีย ท้าวเวสสุวรรณ คือ เทพองค์หนึ่งที่มีอยู่ทั้งในศาสนาพุทธและฮินดู มีหน้าที่คอยกำราบพวกปีศาจร้าย และเป็นผู้ปกครองคอยดูแลความสงบสุข เรียบร้อยให้แก่โลกมนุษย์ ถึงชื่อที่ถูกกล่าวถึงจะแตกต่างกัน แต่โดยรวมท้าวเวสสุวรรณก็คือบิชามอนเทน ภารกิจและหน้าที่ในการดูแลมนุษย์ให้มีความสุขปลอดภัย จะยังเป็นเหมือนเดิม ด้วยหน้าที่อันยิ่งใหญ่ของท่าน ผู้คนจำนวนมากจึงต่างให้ความเคารพและศรัทธาเรื่อยมา ตัวท่านเองจึงเปรียบเสมือนเทพผู้ดูแลมนุษย์ให้อยู่อย่างสงบสุขตลอดไป

ท้าวเวสสุรรณ หรือ บิชามอนเทน จะมีประวัติและตำนานแตกต่างกันไป ตามแต่ละพื้นที่ที่รับมา ในประเทศญี่ปุ่น จะถูกเรียกว่า บิชามอนเทน ส่วนถ้าใประเทศอินเดีย รวมถึงประเทศไทย ที่รับอิทธิพลมาจากอินเดียแล้ว จะใช้ชื่อว่า ท้าวเวสสุวรรณ และตำนานของทั้งสองชื่อ จะมีความแตกต่างกัน ดั่งนี้

ท้าวเวสสุวรรณ ในไตรภูมิกถาบรรยายว่าท่านเป็นหัวหน้าของจตุโลกบาลเทพเทวา

ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ปกครองยักษ์ จึงทำให้นิรมาณกายของท่านปรากฏให้พบเห็นได้ทั่วไป ตามสถานที่ต่างๆเช่น บริเวณประตูทางเข้าวัด โบสถ์วิหาร บางคราวอาจพบเห็นท่านในลักษณะรูปเคารพบูชา ที่ตั้งอยู่ในเทวาลัย โดยรูปลักษณ์ของท้าวเวสสุวัณปรากฏในรูปลักษณ์ของยักษ์ยืนถือกระบองยาวหรือคทา(ไม้เท้าเป็นรูปกระบอง) เป็นที่เคารพนับถือว่าเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูตผีปีศาจแต่ในบางแห่งยังพบ รูปเคารพของท่านในรูปของชายนั่งในท่ามหาราชลีลามีลักษณะโดดเด่น คือพระอุระพลุ้ย เป็นที่เคารพนับถือ ในความเชื่อว่าเป็นเทพแห่งความร่ำรวย โดยผู้นับถือฮินดูขนานพระนามท่านว่า“พระกุเวร”

นอกจากนี้แล้ว ท่านยังเป็นผู้คอยปกปักรักษาพระพุทธศาสนา มิให้ผู้ใดมาทำลายหรือทำให้พุทธศาสนาเสื่อมเสีย ผู้คนมักจะเห็นท่านในรูปยักษ์ดุร้ายเสมอ แต่นั่นคือหนึ่งในปางค์ที่ท่านใช้แสดง เพื่อทำการกำราบให้ผู้คิดไม่ดีเกิดความเกรงกลัว ส่วนปางค์ที่แท้จริงของท่านจะเป็นรูปร่างดุจมนุษย์ที่สง่างาม น้อยครั้ง ที่ท่านจะใช้ปางค์มนุษย์นี่ 

พระเวสสุวรรณ์ได้รับความเคารพอย่างสูง นอกจากมนุษย์แล้ว เหล่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เกรงกลัว ในอำนาจของท่าน เพียงแค่เอ่ยชื่อท่าน ภูตผีปีศาจที่ได้ยินก็ต่างกลัวและหนีหายไป ด้วยอำนาจนี่เอง ท่านจึงถือว่าเป็นเทพที่สามารถคุ้มครองให้ผู้คนสมัยก่อน รวมถึงสมัยนี้ ให้แคล้วคลาดปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้ายเหล่านี้ และท่านยังถูกกล่าวถึงว่า เป็นหนึ่งในสี่จตุโลกบาล ผู้เป็นใหญ่แห่งโลกสวรรค์ชั้น “จาตุมหาราชิกา” (สวรรค์ชั้นที่๑) ตามที่ได้กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก/พระสุตตันตปิฎก/ทีฆนิกาย/ปาฏิกวรรค/อาฏานาฏิยสูตร บรรยายว่าพระนามท้าวเวสสุวัณเป็น “ต่ำแหน่ง” ของเทพบุตรชื่อกุเวรในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งต่อมาได้ครองราชสมบัติในราชธานีชื่อวิสาณะ ตั้งแต่นั้น

จึงเรียกว่าท้าวเวสสุวรรณ มีต่ำแหน่งในการดูแลสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งอยู่ในความปกครองของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นอกจากนามของท่านว่า ท้าวเวสสุวรรณแล้ว ท่านยังมีอีกสองนามว่า ท้าวกุเวร และ ท้าวไพศรพณ์

ในประเทศไทย ท้าวเวสสุวรรณ ได้รับความเคารพนับถือเป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นเทพที่คอยช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดปลอดภัย แคล้วคลาดจากภัยอันตราย และยังถือว่าท่านเปรียบเสมือนเป็นเทพแห่งโชคลาภ ที่ผู้ใดบูชาท่านก็จะมีโชคลาภ ประสบความสำเร็จในชีวิต วัดที่มีท่านประดิษฐานอยู่มีด้วยกันหลายวัด จะกล่าวคือวัดใหญ่แทบจะทุกวัด มักมีรูปหล่อองค์จำแลงท่านอยู่กันแทบจะทุกวัด ไม่ว่าจะเป็นวัดไทย หรือ วัดจีน ก็มักจะอัญเชิญท่านมาประดิษฐาน เพื่อคอยปกปักรักษา วัดไทยที่ขึ้นชื่อเลยคือ วัดจุฬามณี ส่วนวัดจีนก็ วัดเล่งเน่ยยี่ นั่นเอง

ส่วนถ้ามาทางด้านประเทศญี่ปุ่น ที่ก็ได้รับอิทธิพลทางพุทธศาสนาเข้าไปเหมือนกัน ตำนานเกี่ยวกับพระเวสสุวรรณ ก็ถูกเปลี่ยนเป็นชื่อ บิชามอนเทน เทพแห่งโชคลาภ ตามแบบของพุทธนิกายชินโต 

เทพบิชามอนเทน คือ 1 ใน 7 เทพโชคลาภของประเทศญี่ปุ่น ท่านมีพลังอำนาจเป็นอย่างมาก คอยทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์พระพุทธศานาในญี่ปุ่น และยังคอยกำราบเหล่าภูตผี ปีศาจ มีลักษณะเป็นเทพนักรบ ที่ส่วมใส่ชุดเกราะ มือข้างหนึ่งถือหอกและอีกข้างถือเจดีย์ หรือ ศาลอันเล็กๆ ในความเชื่อของคนญี่ปุ่น ท่านจะเป็นผู้ขับไล่สิ่งชั่วร้าย และสิ่งอัปมงคล ท่านมักจะมีหน้าตาที่จริงจังเสมอ ในรูปปั้นและผลงานต่างๆ จะปรากฎภาพใบหน้าของท่านที่มีความดุดันหน้าย่ำเกรง นอกจากที่ท่านเป็นเทพนักรบ ผู้ปกป้องแล้ว ท่านยังถือว่าเป็นหนึ่งใน 4 จตุโลกบาล เป็นผู้ปกครองและพิทักษ์ ทิศทั้ง4 โดยที่ท่านจะเป็นผู้ปกป้องในทิศเหนือ นอกจากพลังอำนาจในการขับไล่ สิ่งชั่วร้ายแล้ว เทพบิชามอนเทน ยังถือว่าเป็นหนึ่งในเทพแห่งโชคลาภ ที่จะนำพาความมั่งมี มาให้แก่ผู้นับถือ รวมถึงผู้ที่ประพฤติตนเป็นคนดี จะได้รับพรจากท่าน จึงไม่แปลกที่ในญี่ปุ่น ท่านจะได้รับการนับถือ จากพ่อค้า แม่ค้า พนักงานบริษัท รวมถึงข้าราชการ ที่มักจะมาเพื่อขอพรแก่ท่านให้เจริญในหน้าที่การงาน และการค้าขาย 

ในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ยังถือว่าท่านคือ หนึ่งใน 7 เทพแห่งโชคลาภ ที่อยู่บนเรือแห่งสมบัติ ตามภาพวาดและตำนาน รวมถึงรูปปั้นของท่าน ที่มักจะพบว่าท่านยืนถือหอกอยู่ตรงกลาง ของกลุ่มเทพโชคลาภทั้ง 7 ภาพของเทพแห่งโชคทั้ง 7 จึงมักจะถูกนำไปติดบูชาไว้ในบ้าน หรือ พกติดตัวไว้บูชา เพื่อมอบโชคลาภ และปกป้องภัยอันตราย รวมทั้งสิ่งที่เป็นอัปมงคลต่างๆ  “ชิจิ ฟุคุจิน” เป็นชื่อเรียกในภาษาญี่ปุ่น หรือก็คือเทพแห่งโชคลาภทั้ง 7 นั่นเอง

เทพแห่งโชคลาภทั้ง 7 บนเรือแห่งสมบัติ ที่คนญี่ปุ่นให้การนับถือมีดั่งนี้

1.บิชามอนเทน ( Bishamonten:毘沙門天)

เทพนักรบผู้ส่วมใส่เสื้อเกราะ มีหน้าตาที่ดูเกรี้ยวกราดอยู่ตลอดเวลา เป็นเทพที่คอยทำหน้าที่ปกป้องพุทธศาสนา คอยกำราบภูตผี ปีศาจ รวมทั้งยังถือว่าเป็นเทพแห่งความสุข และความมั่งคั่งอีกด้วย

2.เทพเบ็นไซเท็น (Benzite:弁財天)

เทพองค์เดียวที่เป็นผู้หญิง บนเรือสมบัติของเทพโชคลาภทั้ง 7 เป็นเทพแห่งศิลปะการแสดงและดนตรี มีลักษณะเป็นหญิงสาวสวยงาม ในมือถือพิณ มีหน้าที่คอยมอบปัญญา และหาคู่ครอง

3.เทพโฮเท (hote:布袋)  

ท่านเป็นเทพองค์เดียวที่มาจากประวัติของผู้มีชีวิตอยู่จริง ในตำนานของประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ท่านเป็นพระในนิกายเซนนามว่า “ไคชิ” (契此) ที่มีชีวิตอยู่ในช่วงปลายราชวงศ์ถัง ตำนานเล่าว่า พระไคชิ คือพระสงฆ์ผู้ใช้ชีวิตพเนจร ที่หลังแบกถุงขนาดใหญ่บรรจุอาหารและข้าวของที่ได้จากการทำบุญของชาวบ้าน ว่ากันว่าพระไคชิสามารถทำนายดวงได้อย่างแม่นยำ ท่านถือว่าเป็นเทพที่มอบความสุขและรอยยิ้ม

 

4.เทพเอบิสุ (Ebisu:恵比寿)

เทพองค์เดียวที่ถือว่ากำเนิดมาจากญี่ปุ่นอย่างแท้จริง มีบุคลิกภาพเป็นชายส่วมใส่เสื้อขุนนาง ใบหน้ายิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา และเอกลักษณ์ที่หน้าสนใจคือ ท่านจะนั่งอยู่บนตัวของปลาไท ปลามงคลในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น ถือว่าเป็นเทพที่ทำให้การค้าขายเจริญรุ่งเรือง

5.เทพฟุคุโระคุจู (Fukurokuju:福禄寿)

ท่านเป็นเทพที่อาวุโสที่สุด มีรูปร่างเป็นชายแก่ที่มีหนวดเครายาวสีขาว มีใบหน้ายิ้มแย้ม แจ่มใส ในมือถือไม้เท้าและม้วนกระดาษ มักพบท่านกับนกกระเรียนเสมอ ท่านถูกนับถือ ให้เป็นเทพแห่งความอายุยืน และประสบความสำเร็จในชีวิต

6.เทพจูโรจิน (Jurogin:寿老人)

ท่านเป็นเทพอาวุโสอีกองค์หนึ่ง ที่ผู้คนมักที่จะจำท่านสลับกับ เทพฟุคุโระคุจู เพราะท่านมีลักษณะที่คล้ายกันมาก เป็นผู้เฒ่าที่มีหนวดเครายาวสีขาว ในมือถือไม้เท้า แต่ต่างกันที่ม้วนกระดาษของท่านจะถูกแขวนไว้บนสุดของไม้เท้าแทน ส่วนมืออีกข้างจะถือลูกท้อ มักพบท่านยืนคู่กับกวาง ท่านถูกนับถือให้เป็นเทพแห่งการปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ หรือ การไร้ซึ่งโรคภัย

7.เทพไดโคคุเท็น (Daikokuten:大黒天)

เทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ มีใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา ในมือถือค้อนวิเศษอุจิเดะ โนะ โคซุจิ และแบกถุงขนาดใหญ่ไว้ที่หลัง ท่านมักจะนั่งอยู่บนกระสอบ ซึ่งเปรียบได้กับความอุดมสมบูรณ์ทางด้านเงินทอง มั่งคั่ง ร่ำรวย และในบ้านของสามี ภรรยา ที่แต่งงานกันใหม่ๆ มักจะนำรูปของท่านมาบูชา เพราะเชื่อว่าท่านจะนำบุตรมาให้

-วัดเซ็งโกกุจิ-

ในประเทศญี่ปุ่น เทพบิชามอนเทน และเทพโชคลาภทั้ง 7 ต่างได้รับการนับถือเป็นอย่างมาก จากผู้คนมากมาย และชาวญี่ปุ่นเองมีความเชื่ออย่างแรงกล้า อันจะเห็นได้จากวัดและประติมากรรมต่างๆ มากมาย ที่บอกเล่าถึงตัวท่าน วัดที่สำคัญและถือว่าเป็นที่สถิตของท่าน ที่คนญี่ปุ่นมักจะไปกราบไหว้ ขอพร กันอย่างเสมอ คือวัดเซ็งโกกุจิ เป็นวัดเล็กๆ ที่ถูกสร้างขึ้นโดยโทกุงาวะ อิเอยาสุ โชกุนคนแรกในปี 1595 ต่อมาในปี 1792 ได้ถูกย้ายจากเขตชิโยดะมายังสถานที่ในปัจจุบันพร้อมกันทั้ง 9 หลัง และกลายมาเป็นศูนย์กลางของความเจริญรุ่งเรืองของคางุระซากะ ชาวญี่ปุ่นมากมาย จึงมักจะไปกราบไหว้ขอพร กันตั้งแต่อดีต จนมาถึงปัจจุบันกันเลย…

ในส่วนอนิเมะ เรื่องมหาศึกคนชนเทพ

ในส่วนของอนิเมะ มหาศึกคนชนเทพ ก็ได้หยิบยกนำเอาประวัติของ เทพบิชามอนเทน นำมาใช้ในมังะเรื่องนี้ด้วย โดยการที่นำเอาเรื่องราวประวัติของเทพบิชามอนเทน นำมาตีความใหม่ โดยยังอิงจากประวัติและเนื้อหาเดิม อยู่เป็นบางส่วน จะกล่าวถึงการกำเนิดของเทพบิชามอนเทน ว่าก่อนที่ท่านจะถือกำเนิดมาเป็นเทพแห่งโชคลาภทั้ง 7 นั้น ท่านเคยมีร่างกายและวิญญาณดวงเดียวกัน โดยที่ในอดีต ร่างเดิมของพวกท่านมีชื่อว่า “ซีโร่ ฟูกุ”

เมื่อครั้งที่ซีโร่เกิดมา เขาถือว่าเป็นหนึ่งในเทพที่มีพลังติดตัวมามากแต่กำเนิด ในยุคที่ซีโร่เกิดเป็นยุคที่ช่องว่างระหว่างเทพกับมนุษย์ยังไม่ห่างกันมาก กล่าวคือในยุคนั้น เทพและมนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข ซีโร่ได้ใช้ชีวิตอยู่บนปราสาทแห่งเทวะ บนภูเขาที่ชุมพูทวีป(อินเดีย) 

ในแต่ละวัน ซีโร่ มีความสุขกับชีวิตมาก ความสุขของเขาคือการได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางแม่น้ำ ภูเขา ผืนป่าที่เปรียบเสมือนบ้าน จนเมื่อกระทั่ง ซีโร่ได้วิ่งเล่นลงมาจากเขา และไปพบเข้ากับหมู่บ้านหนึ่ง ที่ซึ่งหมู่บ้านนี้เอง ผู้คนต่างไม่มีชีวิตชีวาไร้ซึ่งความสุข ต่างอดอยากและเจ็บป่วย เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ซีโร่รู้สึกสงสารพวกเขาอย่างจับใจ จึงได้ใช้พลังเทพของตนเอง ช่วยเหลือหมู่บ้านนี้ ด้วยการดูดกลืนนำเอาซึ่งไม่ดีที่อยู่ในตัวของพวกเขาออกมา คนแรกที่ซีโร่ช่วยคือ เด็กผู้ชายที่ป่วยเป็นโรคกำลังจะตาย ด้วยพลังแห่งเทพของซีโร่ เด็กชายที่กำลังจะตายนั้น ก็ผลันกลับลุกขึ้นมาแข็งแรงได้อีกครั้ง แต่ด้วยพลังการดูดกลืนนี้ ก็ต้องแลกมากับการที่ซีโร่ต้องมีสิ่งไม่ดี ที่แปรเปลี่ยนเป็นความโชคร้ายอยู่ในตัว “สีดำ” แห่งความโชคร้ายเริ่มกลืนร่างกายเขาอย่างช้าๆ 

แต่ซีโร่ก็ไม่สนใจ เขากับดีใจที่สามารถใช้พลังของตนช่วยเหลือผู้อื่นได้ เสมือนกับตนนำพาความสุขมาให้แก่ผู้คน เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น ผู้คนต่างๆ ก็เข้ามาเพื่อขอร้องให้ซีโร่ช่วยนำความโชคร้ายออกไปจากร่างกายตนเอง ซีโร่ไม่ปฎิเสธแต่อย่างใด ถึงจะรู้ว่าร่างกายของเขาจะต้องรับเอาความโชคร้ายนี่เข้ามาอยู่ แต่ถ้าเพื่อมอบความสุขให้กับมนุษย์แล้ว เขาก็พร้อมที่จะทำ

หลังจากนั้นผู้คน ก็ต่างเคารพและนับถือให้ ซีโร่ฟูกุ เป็นเทพซีโร่ผู้นำพาโชคลาภมาให้ เมื่อช่วยเหลือหมู่บ้านสำเร็จ ซีโร่ฟุกุ ที่บัดนี้ถูกกล่าวถึงว่าเป็นเทพแห่งโชค ก็ได้เริ่มต้นแผนการณ์การมอบความสุขให้แก่มนุษย์ทุกคน ลำพังแค่หมู่บ้านเดียวไม่พอสำหรับเทพซีโร่แล้ว บัดนี้เทพซีโร่หวังที่จะมอบความสุขให้แก่มนุษย์ทุกคนที่อยู่ห่างไกลออกไป ท่านจึงรีบออกเดินทางเพื่อมอบความสุขนี้

วันเวลาผ่านไป หลังจากที่ตรากตรำทำงานมอบความสุขให้กับมนุษย์อย่างหนัก ด้วยการที่เทพซีโร่ใช้พลังเทพดูดกลืนความโชคร้ายมาเป็นจำนวนมาก ร่างกายที่สง่างามของท่านก็เริ่มเสื่อมโทรมลง เนื้อตัวที่ขาวสง่าก็ผลันดำมืด เท่านั้นไม่พอ ผู้คนที่เคยนับถือท่าน ก็ลดน้อยลงไป ส่วนหนึ่งมาจากที่ท่านดูดกลืนความโชคร้ายของผู้คน จนบัดนี้ผู้คนไร้ซึ่งความโชคร้ายแล้ว เมื่อนั้นพวกเขาก็ไม่คิดถึงเทพซีโร่อีกต่อไป ซึ่งการกระทำนี้ก็เริ่มสุมไฟแห่งความโกรธขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว 

แต่เทพซีโร่ก็ทำเป็นไม่สนใจ ในตอนนี้ท่านกลับนึกถึงหมู่บ้านแรกที่ท่านช่วยเหลือไว้ขึ้นมา พร้อมทั้งคิดว่า จากมาปานนี้แล้ว หมู่บ้านนั่นจะเป็นอย่างไรมั่ง เมื่อคิดได้เช่นนั้น เทพซีโร่จึงไม่รีรอ ท่านรีบเดินทางไปยังหมู่บ้านนั้นทันที เมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งการเริ่มต้นทุกอย่างแล้ว เทพซีโร่ก็ได้เห็นภาพของชาวเมืองมากมาย ต่างใช้ชีวิตอย่างไร้ประโยชน์ พวกเขาต่างกินดื่มและมัวเมากับกิเลสมากมาย ซึ่งดูแล้วพวกเขาไร้ซึ่งความสุข 

เมื่อเห็นภาพเหล่านั้น เทพซีโร่ก็รู้สึกช็อค อีกทั้งยังเจอเด็กน้อยคนแรกที่เทพซีโร่ช่วยเหลือให้หายเป็นปกติ ตอนนี้เด็กน้อยคนนั้น ก็โตเป็นผู้ใหญ่ เทพซีโร่ได้ทักและหวังว่าเด็กน้อยคนนั้นจะจำตนได้ แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด เด็กน้อยกับจำเทพซีโร่ผู้มีพระคุณของเขาไม่ได้เลย แถมยังต่อว่า ว่าเทพซีโร่สกปรก น่ารังเกลียด คำพูดนี้กรีดแทงใจเทพซีโร่เป็นอย่างมาก บัดนี้ท่านกับมาที่คำถามว่า ทำไม ทำไม พวกเขาถึงจำตน เทพที่เสียสละเพื่อนำความสุขมาสู่พวกเขาไม่ได้ และที่สำคัญเลยพวกเขากับไม่มีความสุข 

แต่ในขณะที่เทพซีโร่กำลังรู้สึกสิ้นหวัง ก็มีกลุ่มคนเดินผ่านมา เป็นกลุ่มคนคณะใหญ่ ในกลุ่มนั้น มีทั้งคนแก่ เด็ก ผู้ใหญ่ รวมถึงสัตว์มากมาย ที่เดินอยู่ในขบวน แต่สิ่งที่สำคัญเลยคือทุกชีวิตในขบวนแห่งนี้ ต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมีความสุข พร้อมทั้งผู้ที่เดินนำขบวนมายังทำการโปรยทาน และตรัสถึงวิธีการใช้ชีวิต รวมถึงดับทุกข์ แก่ผู้คนในเมือง เมื่อผู้คนในเมืองได้ฟัง พลันแววตาของพวกเขาก็สดใสขึ้นมา เป็นแววตาของผู้มีความสุขอย่างแท้จริง เมื่อเห็นภาพผู้คนมีความสุข เทพซีโร่จึงได้ตะโกนถามผู้นำของขบวนนี้ ว่า

”ทำอย่างไร ทำไมผู้คนถึงมีความสุข และข้าทำอะไรผิด ทั้งๆที่ดูดกลืนความทุกข์ ให้แก่พวกเขาจนหมด แต่ทำไมพวกเขาถึงไม่มีความมสุขเลย” 

คำถามจากเทพซีโร่ที่ถามไปถึงผู้นำหัวขบวน หรือก็คือ บุดด้า(ศากยะ) ศาสดาของศาสนาพุทธ ท่านได้ตรัสกับเทพซีโร่ว่า 

“ความสุข ไม่ใช่สิ่งที่ตัวเจ้าจะมอบให้แก่ใครได้ แต่มันคือสิ่งที่ตัวของเจ้า จะต้องบรรลุมันด้วยตัวของเจ้าเอง” 

สิ้นสุดคำพูดของท่านบุดด้า ผู้คนที่ได้ยินก็ต่างพากันเลื่อมใสศรัทธา พลันแววตาของพวกเขาก็มีแต่ความสุขขึ้นมา เมื่อเทพซีโร่ได้เห็นภาพนั้น ก็รู้สึกโกรธขึ้นมายังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน 

หลังจากนั้น ท่านบุดด้าก็หันกลับมาถามถึงเทพซีโร่ว่า พร้อมที่จะไปหาหนทางแห่งการดับทุกข์(ตรัสรู้) พร้อมกับเราหรือยังสหาย คำพูดที่กล่าวออกมาของท่านบุดด้า ได้กระแทกเข้าไปยังส่วนลึกของจิตใจ ความเจ็บปวดแบบที่ เทพซีโร่ ไม่เคยรู้สึกมาก่อน หลังจากนั้น ซีโร่ได้ลุกขึ้นและหันหลังวิ่งหนีออกไป แบบสภาพร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุด 

เมื่อวิ่งจนมาถึงบ่อน้ำ เทพซีโร่ได้นั่งร้องไห้ และเมื่อเห็นเงาสะท้อนภาพของตัวเองจากผืนน้ำ ก็รู้สึกตกใจว่าหน้าตาของตนเอง กับมีรอยดำเปื้อนอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ซีโร่รู้สึกรังเกียจตัวเอง และเริ่มโทษว่า ที่ผู้คนไม่เคารพในตัวท่าน เพราะส่วนหนึ่งมาจากบุดด้าเข้ามาแย่งหน้าที่ในการมอบความสุข ผู้คนจึงไม่ศรัทธาในตัวท่านเหมือนที่ผ่านมา ความโกรธ เกลียด ทั้งบุดด้าและมนูษย์ ได้เริ่มกัดกินตัวตนของเทพซีโร่ จนทำให้ท่านเริ่มเปลี่ยนแปลง จากเทพที่มีผิวขาวบริสุทธิ์ พลันกับถูกความดำมืดเข้าปกคลุม กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายที่กำเนิดขึ้นมาจากความแค้น 

หลังจากเปลี่ยนร่างแล้ว ความคิดที่จะมอบความสุขให้แก่มนุษย์ก็เปลี่ยนแปลง เป็นความโกรธและอยากจะมอบความโชคร้ายให้แก่มนุษย์แทน เมื่อทนต่อพลังแห่งความโกรธไม่ไหว เทพซีโร่ก็นำเอาพลังของตน ใช้เพื่อทำลายมนุษย์ทั้งหมด ซีโร่ได้พุ่งเข้าไปหากลุ่มมนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียง เพื่อหวังจะมอบสวรรค์ลงทัณฑ์ให้แก่มนุษย์พวกนั้น แต่ในขณะที่จะทำร้ายมนุษย์คู่หนึ่ง พลันท่านก็เกิดความลังเลขึ้นมา เพราะภาพที่แม่เอาตัวออกมาบังลูกเอาไว้ จากภาพนี้เองจึงทำให้ท่านหยุดการลงมือลง เทพซีโร่ได้ควบคุมและดึงสติกลับมา ในขณะนั้นเอง ซีโร่ ฟูกู ก็ได้ใช้มือของตนแทงเข้าไปที่กลางอก พลังที่ปล่อยออกมาได้แบ่งตัวของซีโร่ออกเป็น 7 ส่วน หลังจากนั้นผู้คนก็ต่างเรียกพวกท่านทั้ง 7 ว่า เทพแห่งโชคลาภ ถึงแม้จะหยุดไม่ให้ลงมือทำร้ายมนุษย์ได้แล้ว แต่ความทรงจำที่เกี่ยวกับความแค้นที่มีต่อบุดด้า ก็ยังมีอยู่ตามเดิม 7 เทพแห่งโชค ต่างเก็บงำความแค้นนี้ไว้ และเฝ้ารอที่ซักวันหนึ่ง จะต้องชำระแค้นนี้กับบุดด้าให้ได้…

(เทพบิชามอน หรือ ซีโร่ฟูกุ ได้ลงต่อสู้ในคู่ที่หก กับ มหาศาสดาบุดด้า

มหาศึกคนชนเทพ บิชามอนเทน (Record of Ragnarok)

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending

What's your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
2
Silly
1

You may also like

Anime

แนะนำอนิเมะ Murai no Koi : Murai in Love (ตัวอย่าง/เนื้อเรื่อง/แนะนำตัวละคร)

เรื่องราวของ “มุราอิ” เด็กหนุ่มชั้นมัธยมปลายผู้เงียบขรึมที่กำลังตกหลุมรักครูสาวแสนสวย “ทานากะ อายาโนะ” เข้าอย่างจัง เขาจึงพยายามที่จะจีบและบอกรักเธออย่างตรงไปตรงมา ทว่าอายาโนะกับไม่มีทีท่าจะหวั่นไหวหรือรู้สึกเขินอายแต่อย่างใด เพราะแท้จริงแล้วเธอนั้นชอบผู้ชาย 2D ในเกมเสียมากกว่า!
Anime

แนะนำอนิเมะ Chi – Chikyuu no Undou ni Tsuite : สุริยะปราชญ์ ทฤษฎีสีเลือด (ตัวอย่าง/เนื้อเรื่อง/แนะนำตัวละคร)

เรื่องราวเริ่มขึ้นในยุโรปช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 ที่ศาสนาและความเชื่อในพระเจ้ามีอิทธิพลต่อสังคมเป็นอย่างมาก จนทำให้ความคิดต่าง ๆ ที่ขัดต่อคำสอนในพระคัมภีร์กลายเป็นสิ่งต้องห้าม โดยเฉพาะทฤษฎีดาราศาตร์ที่กล่าวว่า “โลกไม่ใช่ศูนย์กลาง แต่เป็นดวงอาทิตย์ต่างหากที่เป็นศูนย์กลาง” กลายเป็นความคิดของพวกนอกรีตไปโดยปริยาย
Anime

แนะนำอนิเมะ Kekkon Suru tte, Honto Desu ka? : แต่งงานที่ว่านี่เรื่องจริงเหรอครับ? (ตัวอย่าง/เนื้อเรื่อง/แนะนำตัวละคร)

เรื่องราวของ “โอฮาระ ทาคุยะ” และ “ฮอนโจจิ ริกะ” สองเพื่อนร่วมงานที่รักสันโดษพวกเขานั้นเป็นคนที่เข้ากับใครไม่ค่อยเก่ง รักความสงบและชื่นชอบการได้อยู่คนเดียวเพียงลำพัง สำหรับพวกเขาแล้วชีวิตก็แค่ทำงาน เก็บเงิน และใช้ชีวิตโดยไม่สุงสิงกับใคร ทว่าในวันหนึ่งบริษัทที่พวกเขาทำงานอยู่นั้นก็ได้ตัดสินใจที่จะเปิดสาขาใหม่ที่ต่างประเทศ ส่งผลให้เกิดการคัดเลือกบุคลากรครั้งใหญ่!

Comments are closed.

More in:Anime

Anime

แนะนำอนิเมะ Tsuma, Shougakusei ni Naru. (ตัวอย่าง/เนื้อเรื่อง/แนะนำตัวละคร)

เรื่องราวของครอบครัว “Niijima” อันแสนอบอุ่นที่ประกอบไปด้วย Keisuke(พ่อ) , Takae(แม่) และ Mai ลูกสาวที่แสนน่ารักถึงจะมีบางครั้งที่ไม่เข้าใจกันบ้าง แต่พวกเขาก็เป็นครอบครัวที่คอยดูแลซึ่งกันและกันอยู่เสมอ จนอยู่มาวันหนึ่ง Takae ก็ได้ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตลงกระทันหัน!
Anime

แนะนำอนิเมะ Kimi wa Meido-sama : เมดสาวนักฆ่า (ตัวอย่าง/เนื้อเรื่อง/แนะนำตัวละคร)

เรื่องราวของ “โยโกยะ ฮิโตโยชิ” เด็กหนุ่มมัธยมปลายแสนธรรมดาที่อยู่มาวันหนึ่งเขาก็ได้พบกับเมดสาวแสนลึกลับที่จู่ ๆ ก็โผล่มาหน้าบ้านพร้อมกับบอกว่า “ช่วยจ้างฉันได้ไหม” โดยที่เธอนั้นมีความสามารถพิเศษทางด้านการต่อสู้และลอบสังหาร ทว่าเรื่องงานบ้านงานเรือนเธอกับเป็นมือใหม่ที่ฝีมือเข้าขั้นเลวร้ายสุดๆ!
Anime

แนะนำอนิเมะ Ao no Hako : กล่องรักวัยใส (ตัวอย่าง/เนื้อเรื่อง/แนะนำตัวละคร)

เรื่องราวของ “อิโนมาตะ ไทกิ” เด็กหนุ่มสมาชิกชมรมแบดมินตันที่ในขณะนี้เขากำลังแอบชอบ “คาโนะ จินัตสึ” รุ่นพี่สาวแสนน่ารักหัวหน้าชมรมบาสเกตบอลหญิง และด้วยความขยัน มุ่งมั่น เอาจริงเอาจังของรุ่นพี่ก็ทำให้ไทกิพยายามอย่างหนักที่จะฝึกซ้อม พัฒนาตัวเองเพื่อให้ได้เข้าใกล้เธอมากขึ้น