คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่55
บทที่ 55. 7 วันอันตราย ep.3
“ไม่ว่าผู้คนหรือเรื่องราว ก็ล้วนแต่ผ่านไปแล้วทั้งสิ้น แม้โหยหาเพียงใด เราก็กลับไปอีกไม่ได้ “
**ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า แค่ไข้หวัดธรรมดามันสามารถที่จะฆ่าคนให้ตายได้ ถ้าเป็นสมัยก่อนผมจะไม่ว่าเลย ถ้าเราลองย้อนเวลาไป 100-200 กว่าปีก่อน ที่มีโรคไข้หวัดสเปนที่ฆ่าคนไปเป็นล้านๆ แต่นี่มันเป็นสมัยนี้ ที่ปัจจุบันซึ่งมียารักษาโรคตั้งมากมาย และมียาที่สามารถป้องกันโรคไข้หวัดได้และก็โรคร้ายแรงอื่น ๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็รักษาหายได้เช่นกัน
ผมรู้สึกสลดใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ทราบข่าวการเสียชีวิตของคุณลุงเมื่อเช้านี้ และยิ่งต้องสะเทือนใจเข้าไปใหญ่ เมื่อรู้ว่าแกจะได้กลับบ้านอีกไม่นานนี้เช่นกัน มันดูไม่สมเหตุสมผลเลยกับการเสียชีวิตของแก ด้วยเพียงแค่โรคไข้หวัดใหญ่กับความมักง่ายของคนเพียงแค่กลุ่มหนึ่ง ที่มันขโมยเอายาที่ พ.บ มาขาย กลับต้องแลกมาด้วยชีวิตคนหนึ่งคน ถึงแม้ว่าเขาจะเคยทำผิดผลาดไปก็ตาม แต่เขาก็กำลังชดใช้กรรมอยู่ ชดใช้ในสิ่งที่เขาได้ทำผิดพลาดไป แต่กับกลายเป็นว่าเขาต้องมาจบชีวิตลง อยู่ในคุกแห่งนี้มันช่างไม่ยุติธรรมเลยจริง ๆ
ผมรู้สึกเศร้าใจมากถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ญาติผู้ใหญ่ของผมก็ตาม หรือผมก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับเขาเลย แต่ผมก็ยังรู้สึกเศร้าอยู่ดี มันน่าเสียดาย ที่เขาไม่ได้กลับบ้าน มันทำให้ผมได้นึกถึงคำพูดประโยคหนึ่งที่พูดว่า “คนเรานั้นสามารถรู้อะไรได้ทุกเรื่องแต่มีสิ่งเดียวที่เราไม่อาจล่วงรู้ได้นั่นก็คือวันตายของเรานั่นเอง ” **
บรรยากาศในช่วงตอนเย็นก่อนขึ้นห้อง มันหนาวขึ้นทุกที หนาวจับใจเลยทีเดียว ผมอาบน้ำแทบจะไม่ถึง 3 นาทีด้วยซ้ำ นี่ขนาดผมอาบน้ำบนโรงงานนะครับมันยังให้ความรู้สึกหนาวได้ขนาดนี้ แต่ถ้าเป็นการอาบน้ำข้างล่างในบ่ออาบน้ำ มันคงจะหนาวมากขึ้นเป็นทวีคูณ อยู่ดี ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องที่คุณลุงคนนั้นได้ตาย มันเลยทำให้จิตใจของผมรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก ทั้งที่ผมกับคุณลุงนั้น เราสองคนไม่ได้เกี่ยวข้อง หรือ เป็นญาติกันเลย และผมก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้กับไอ้แว่นได้ฟัง
ทีแรกไอ้แว่นมันไม่เชื่อ ว่าสิ่งที่ผมเล่านั้นจะเป็นเรื่องจริง เพราะมันก็เห็นลุงคนนั้นเมื่อตอนเช้าอยู่ด้วยกันกับผมอยู่เลย ดูแกก็ไม่น่าจะเจ็บป่วยถึงขนาดตายได้ในความคิดของไอ้แว่น จนเมื่อมันเห็นสีหน้าและแววตาของผม มันถึงจะเชื่อในสิ่งที่ผมพูดในตอนแรก
“มันก็จริงอย่างที่พี่ใหญ่พูด คนเราไม่น่าตายเพราะโรคไข้หวัดได้เลย ยุคสมัยนี้มันไม่น่าตายเพราะโรคแค่นี้เลยจริงๆ แค่กินยาพาราอย่างเดียวเอง จะโทษว่าใครผิด ก็ต้องเป็นพวกไอ้เด็กพ.บ ที่มันเอายามาขายซะจนตอนนี้ยาเริ่มหมดแล้ว และดันมามีโรคไข้หวัดใหญ่ระบาดขึ้นมาอีก กรรมของแกจริง ๆ และที่พี่บอกว่ามันจะต้องมีคนตายเพิ่มอีก มันจะจริงหรอพี่ ” ไอ้แว่นตั้งคำถามนี้ขึ้นมาถามเพราะว่าเหตุการณ์แบบนี้ ผมเคยผ่านมันมาก่อน
ผมจึงพยักหน้าให้มันได้เข้าใจ แล้วบอกกับมัน ” ใช่..ไอ้แว่น ลุงคนนี้ไม่ใช่ศพสุดท้ายหรอก กูเคยเห็นคนตายมาแล้วในปี 56 ที่แดนนี้ และเป็นเดือนนี้ เดือนเดียวกันอีกด้วย และถ้าจะโทษว่าใครคือคนผิด ก็ไอ้เด็กที่ พ.บ นั่นแหละที่ผิด..ส่วนหมอที่ พ.บ ก็ต้องมีส่วนที่รับผิดชอบด้วย ที่ปล่อยให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้
แต่ก็อย่างว่าละว่ะไอ้แว่น ในคุกเงินคือพระเจ้า มันสามารถบันดาลมึงได้ทุกสิ่ง เนรมิตมึงได้ทุกอย่าง ทั้งความสะดวกสบาย และการกินการอยู่ และไอ้การที่จะหาเงินใช้ในคุกมันก็ง่ายดายขนาดไหน มึงก็รู้ก็เห็นกับตัวเองแล้วนิ
กูจะบอกอะไรให้ไอ้แว่น ความโลภของคนเรามันไม่เข้าใครออกใครหรอก ไม่ว่ามึงหรือกู ต่างก็มีด้วยกันทั้งนั้น แต่กูจะสอนมึงไว้อย่างนะไอ้แว่น ถึงมึงจะต้องการเงินมากขนาดไหน แต่ตัวมึงต้องมีบรรทัดฐานของความเป็นคนเอาไว้ในจิตใจ ถ้ามึงไม่มี มึงก็ไม่ต่างอะไรจากสัตว์ ที่มันสามารเอากันเองได้ในครอบครัวมัน
เราเป็นคนไม่ใช้สัตว์นะไอ้แว่น เหมือนกับที่มึงก็เห็นพี่ใช่ไหม ว่าพี่นั้นไม่เคยเอาเปรียบใคร พี่ไม่เคยเหยียบย่ำใคร เพราะอะไรรู้ไหม ก็เพราะว่าตัวของพี่ก็มีบรรทัดฐานของความเป็นคนอยู่ในจิตใจเหมือนกัน
พี่ไม่ได้บอกว่าตัวพี่เองเป็นคนดีเต็มร้อย แต่พี่ก็รู้ตัวเองดีอยู่เสมอว่า พี่กำลังทำอะไรอยู่ และพี่เชื่อว่าสิ่งที่พี่เป็น มันจะเห็นผลกลับมาในตอนที่พี่ลำบาก แต่ถึงพี่จะลำบากขนาดไหน พี่ก็มักจะเห็นหนทางแก้ไขมันได้อยู่เสมอ พี่ก็ไม่ได้อยากให้มึงเป็นเหมือนพี่ อะไรที่พี่ไม่ดีมึงก็อย่าไปจำ แต่พี่อยากให้มึงดูและเห็นเอาไว้ว่า นิสัยพี่จริงแล้ว เป็นยังไงแล้วมึงจะเข้าใจว่า บรรทัดฐานในจิตใจของพี่นั้นคืออะไร”
ไอ้แว่นตั้งใจฟังในสิ่งที่ผมบอก “ครับพี่ใหญ่ ผมเชื่อพี่ และจะจำเอาไว้ครับ ” ไอ้แว่นตอบให้ผมได้เข้าใจ หลังจากนั้นพวกเราก็ได้เวลาลงจากโรงงานเพื่อที่จะไปกินข้าวที่โรงเลี้ยงกันต่อไป
บรรยากาศข้างล่าง มันช่างต่างจากบนโรงงานอย่างสิ้นเชิง ความหนาวที่มันมีมากขึ้น บวกกับลมที่พัดอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้ลมที่พัดมามันจะไม่แรง แต่มันก็สามารถทำให้เราขนลุกได้ทุกทีที่สัมผัสกับมัน ผมนั่งกินข้าวในโรงเลี้ยงด้วยความหนาวไปพลาง มองดูพวกนักโทษด้วยกันไปด้วย ผมเห็นบางคนถึงขนาดต้องเอาผ้าห่มมาคุมตัวเอง แล้วก็นั่งกินข้าวไปด้วย มันจึงทำให้ตัวผม มองดูแป๊ปเดียวเท่านั้น ผมก็สามารถจะเดาดูได้ว่า มีใครบ้างที่ไม่สบายอยู่ในตอนนี้ มันดูไม่ยากเลยครับในตอนนี้ เพราะคนที่ป่วยมันมีเยอะจริงๆ ไม่ว่าสายตาผมจะมองไปทางไหน ก็ต้องเจอกับคนป่วย
ซึ่งในตอนนี้ ภายในแดนมียอดผู้ป่วยมากถึง 400 กว่าคนเข้าไปแล้ว และผมก็เชื่อว่าวันพรุ่งนี้มันต้องมีคนป่วยมากกว่านี้แน่นอน ผมกินข้าวได้ยังไม่ถึงครึ่งจานด้วยซ้ำ ก็มีเสียงตามสายประกาศชื่อปล่อยตัวนักโทษคนนึง ซึ่งเวลาในตอนนี้มันก็เลยเวลาปล่อยตัวไปตามปกติมากแล้วก็ตาม ใครที่ไม่รู้ก็คงคิดว่ามันดูแปลก แต่เราคนคุกจะรู้กันอยู่แล้วว่า ถ้ามีการประกาศปล่อยตัวในตอนเย็นนั่น ก็แสดงว่าคนคนนั้นได้ตายไปแล้ว และชื่อที่ประการปล่อยตัว ก็เป็นชื่อของคุณลุงคนเมื่อเช้าที่ได้ตายลงไปนั่นเอง
คุณผู้อ่านคงสงสัยใช่ไหมครับว่าทำไมถึงจะต้องมีการประกาศปล่อยตัว เพราะว่าพวกเราเชื่อกันว่า ถ้าเรายังจำคุกไม่ถึงกำหนดโทษที่ได้รับ ตัวเราจะไม่สามารถไปไหนได้จนกว่าเราจะจำคุกจนครบกำหนดโทษ นั่นก็แสดงว่าถ้าเราไม่ทำการประกาศชื่อปล่อยตัวคุณลุงคนนี้ มันจะทำให้วิญญาณของแกก็จะไม่ได้ไปไหน แกจะต้องวนเวียนอยุ่ในนี้ ถูกจองจำจนกว่าโทษของแกจะหมดลง
เรื่องแบบนี้มันก็คือความเชื่อของคุกในบ้านเรา เพราะเราเชื่อกันว่าในสถานที่แห่งนี้จะมี “พระเจตคุปต์” คอยปกปักรักษาอยู่ด้วยในทุกที่ และถ้าเรายังไม่ได้รับการปล่อยตัวครบกำหนดโทษของเรา เราจะออกไปไหนไม่ได้ ถึงแม้จะกลายเป็นวิญญาณแล้วก็ตาม เพราะพระเจตคุปต์ที่คอยรักษาจะไม่ให้เราออกไปนั่นเอง จึงต้องทำการประกาศชื่อปล่อยตัว ให้กับคนที่ตายก่อนเวลาพ้นโทษ เพื่อที่จะทำให้วิญญาณของตนเอง นั้นเป็นอิสระจากในคุก เพื่อที่จะได้ไปสู่ภพภูมิที่ดีต่อไป
มันคืออาถรรพ์และความเชื่อของคนในคุกที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน แต่สิ่งนี้มันก็สามารถพิสูจน์ได้นะครับ ว่ามันจริงหรือไม่จริง และผมบอกได้เลยว่า การประกาศชื่อปล่อยตัวให้กับคนที่ได้ตายแล้ว มันไม่สามารถช่วยอะไรได้หรอกครับ มันเป็นการทำเพื่อที่จะให้คนที่อยู่ต่อในคุกนั้นสบายใจมากกว่า เพราะว่าเรื่องแบบนี้ผมเคยสัมผัสมากับตัวเองมาก่อน ในตอนที่ผมได้ติดคุกรอบแรก ในตอนนั้นที่ผมอยู่ที่วัยหนุ่มกลาง
เหตุการณ์มันมีอยู่ว่า เพื่อนผู้ต้องขังที่อยู่แดนเดียวกันกับผม ได้เสียชีวิตลงไป พวกเราก็ได้มีการประกาศชื่อปล่อยตัวในตอนเย็นของวันนั้นตามปกติ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ วิญญาณของมันก็ไม่เคยได้ไปไหนเลย มันก็ยังวนเวียนอยู่ในแดนแห่งนี้ที่ผมอยู่ จนกว่าจะครบกำหนดโทษของมัน เรื่องนี้พวกพี่ผู้คุมต่างรู้ดีและก็ได้เจอมันหลอกอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นก็คือพี่กุหลาบ ในตอนนั้นแกได้ขึ้นมาเช็คดูความเรียบร้อยตามห้องขังต่าง ๆ ในตอนเช้า ก่อนเคารพเพลงชาติ มันเป็นเรื่องปกติที่ผู้คุมที่เข้าเวรกลางคืนต้องทำ และแกก็เดินเช็คดูทีละห้อง ๆ
จนแกได้เห็นนักโทษคนนึงยืนหันหลังให้กับประตูอยู่ในห้อง 8 และเป็นห้องที่มันได้เสียชีวิตลง ในตอนนั้นแกไม่ได้นึกถึงเรื่องผีอยู่เลย แกจึงได้ตะโกนเรียกมัน ว่าทำไมไม่ลงจากห้อง แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น นักโทษคนนั้นหันหน้ามาหาแก และก็ได้เดินทะลุลูกกรงจะเข้ามาหาแก แค่เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องรอให้มันเดินมาถึง แกรีบวิ่งหน้าตาตื่นลงมาจากห้องขังอย่างไว ปากก็ร้องหาสร้อยพระเพื่อเอาพระมาคล้องคอ หน้าตาของแกในตอนนั้น ดูตื่นตกใจกลัวเป็นอย่างมาก
หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พี่กุหลาบแกจะไม่ยอมเข้าเวรกลางคืนอีกเลย ไม่ว่าจะยังไงเหตุผลอะไร แกก็จะจ้างให้คนอื่นเข้าเวรแทนแกตลอด นับจากนั้น ผมจึงไม่เห็นแกเข้าเวรกลางคืนอีกเลย และ ก็ยังมีผู้คุมอีกคนหนึ่งที่ได้เจอกับผีนักโทษคนนี้ นั่นก็คือ พี่ฟู เขาเป็นลูกพี่ของผมเองครับ แกได้เล่าให้กับผมฟัง เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าตัวพี่ฟูแกเองนั้น เป็นคนที่ไม่กลัวผี แกได้เจอกับมันในตอนกลางคืน ตอนที่แกเข้าเวรและในตอนนั้นแกต้องเดินตรวจตาความเรียบร้อย ในเวลา 02:00 น ภายในแดนบริเวณสนามฟุตบอล สายตาของแกได้ไปเห็นนักโทษคนหนึ่ง ซึ่งยืนอยู่ในมุมมืดข้างกำแพง
พี่ฟูแกเห็นแกก็รู้แล้วว่าเป็นผี แกจึงเดินไปถามว่า มึงไม่ใช่คนใช่ไหม มันก็พยักหน้าให้กับแก แล้วบอกกับแกไปว่ามันหิว มันหิวมาก ๆ แกก็เลยบอกว่าพรุ่งนี้จะทำบุญไปให้ แล้วอย่ามาหลอกมาหลอนให้คนอื่นเขาเห็นอีก แล้วแกก็ขอหวยกับมัน ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อว่าสิ่งที่แกเล่าคือเรื่องจริง แต่ที่ผมเชื่อก็เอาเป็นว่างวดนั้นพี่แกถูกหวยไปหลายแสนเลยทีเดียว
มันก็เลยทำให้ผมเชื่อว่า การประกาศปล่อยตัวให้กับคนที่ตาย ก่อนวันพ้นโทษ มันไม่ช่วยอะไรให้วิญญาณของแกได้ออกจากที่นี่ แต่ผมเชื่อว่าแกจะออกไปได้ ก็ต่อเมื่อโทษของแกได้จำหมดลงไปแล้วนั่นเอง หรือ ไม่อีกอย่าง ก็ต้องให้ญาติเดินเรื่องทำเอกสารปล่อยตัวที่ลงนาม และมีตราครุฑประทับ นำมาให้ผู้คุมประกาศรายชื่อเพื่อปล่อยเขาให้เป็นอิสระ
ซึ่งเรื่องนี้เคยเกิดขึ้นจริง ที่เรือนจำแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน ที่เรือนจำนั้นมีนักโทษเสียชีวิตอยู่หลายคน และก็แน่นอนความเฮี้ยนนั้นยืนหนึ่ง มีผู้คุมและนักโทษต่างโดนหลอกกันถ้วนหน้า ไม่เว้นแม่แต่ พ.บเรือนจำยังถูกหลอกตอนกลางวันแสก ๆ จนถึงขั้นต้องอัญเชิญพระมาทำพิธีแต่ก็ช่วยได้แค่ระดับหนึ่ง จนในที่สุดทางพ.บแดน ได้เชิญคนทรงเข้ามา และทราบสาเหตุว่าพวกเขาอยากกลับบ้าน
ภายหลังจึงเริ่มทำเรื่องขอเอกสารปล่อยตัวนักโทษทั้งหมด และจัดพิธีเหมือนตอนปล่อยนักโทษจริง ๆ เชื่อไหมครับคุณผู้อ่าน หลังจากประกาศชื่อคนสุดท้ายเสร็จ เกิดลมหมุนขึ้นตรงบริเวณราวตากผ้า แรงลมได้พัดพาเสื้อผ้าที่แขวนลอยออกนอกคุก และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครเจอดีอีกเลย..
ไอ้แว่นมันดูจะงงกับสิ่งที่มันได้ยินว่า เขาประกาศปล่อยตัวอะไรตอนนี้มันจึงหันมามองหน้าผม ผมจึงบอกกับมันไปว่า “ชื่อที่ประกาศปล่อย ก็คือชื่อลุงที่ตายไปในตอนเช้านั่นแหละ” มันก็ยังถามผมว่า
“แล้วพี่รู้จักชื่อของลุงคนนี้ได้ไงก็ไหนพี่บอกไม่รู้จักเขาเลย ” ผมรู้สึกอดขำไม่ได้กับความไร้เดียงสาของมัน จึงพูดกับมันไปว่า “เขารู้กันหมดว่าถ้าประกาศชื่อปล่อยตัวตอนเย็นคือคนตาย กูไม่ต้องรู้จักเขาก็ได้ กูก็รู้ว่าเป็นเขา มึงอยากจะมีชื่อปล่อยตอนเย็น กับเขาไม่ละไอ้แว่น “ ไอ้แว่นรู้ดังนั้นรีบสายหัวไม่เอายิก ๆ
“ โอ้โห..แบบนี้ผมก็ไม่เอาหรอกพี่ ผมยังไม่อยากกลับบ้านไวตอนนี้ ” ไอ้แว่นพูดติดตลกบอกกับผม หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จ ผมกับไอ้แว่นก็ได้ไปนั่งเล่นรอเวลาขึ้นห้องที่ร้านขายของไอ้คมเพื่อนสนิทอย่างเช่นทุกวัน และในคืนนี้เราทั้งสองคนเตรียมตัวกันมาเป็นอย่างดีทั้งโสร่ง เสื้อกันหนาว รวมทั้งถุงเท้าก็ใส่ขึ้นไปบนห้องด้วย เพราะคิดคิดดูแล้วคืนนี้ มันต้องหนาวหนักมากแน่ ๆ นี่ขนาดยังไม่ 15:00 น อากาศมันยังเย็นมากขนาดนี้ มันก็เลยได้ทำให้ ค่ำคืนนี้ไม่ได้เป็นคืนที่ธรรมดาอย่างทุกวัน และคืนนี้มันจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น… (โปรดติดตามตอนต่อไป) ” หมีขาว ขั้ว โลกเหนือ “# คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่55
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun