มหาศึกคนชนเทพ เกรกอรี รัสปูติน (Grigori Rasputin)
เกรกอรี รัสปูติน เป็นหนึ่งในตัวแทนของฝ่ายมนุษย์ ในการเข้าร่วมต่อสู้กับฝ่ายเทพ เกรกอรี รัสปูติน เขาเป็นที่ปรึกษาที่ทรงอิทธิพลมากที่สุด ในราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัฐเซีย เขามีความสามารถทางด้านการรักษาโรคเป็นอย่างมาก ในครั้งหนึ่งเขาเคยรักษาโรคฮีโมฟีเลีย โรคที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีวันรักษาให้หายได้ ให้แก่ ซารินาอเล็กซานดรา จึงทำให้เขามีอิทธิพลและถูกยกย่องจากผู้คนในยุคสมัยนั้น ประวัติต่างๆรวมถึงความสามารถที่นอกเหนือจากการรักษาของรัสปูตินยังเป็นปริศนา แต่บรุนฮิลรู้ดีว่ารัสปูตินนั้นมีความสามารถที่มากกว่าที่ตัวเองมี เขาจึงถูกรับเลือกให้เป็นตัวแทนฝ่ายมนุษย์ในการต่อสู้ในศึกครั้งนี้ และบรุนฮิลก็มั่นใจว่ารัสปูตินจะต้องนำชัยชนะมาสู่มวลมนุษย์ได้อย่างแน่นอน….
ประวัติ แห่งยุค (รัสเซีย)
เกรกอรี เยฟิโมวิช รัสปูตินหรือที่ผู้คนมักนิยมเรียกกันว่า “รัสปูติน” เป็นนักบวช ผู้ที่มีพลังพิเศษสามารถทำนายและรักษาโรคต่างๆได้ มีบทบาทและอำนาจเป็นอย่างมากในช่วงปลายของราชวงศ์โรมานอฟของรัสเซีย เขาเป็นทั้งที่ปรึกษาและผู้ที่มีอำนาจเบื้องหลังแห่งราชวงศ์โรมานอฟ และการมีอำนาจนี่เองของเขา ก็เป็นสาเหตุหนึ่งของการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซียเช่นกัน
เกรกอรี รัสปูติน เกิดเมื่อวันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 1869 ที่หมู่บ้านโปครอฟสกี อำเภอทยูแมน จังหวัดโตบอลส์ก ในไซบีเรีย ในครอบครัวเกษตรกร เขานับถือศาสนาคริสนิกายคริสติ และค็อปสตี ซึ่งในสมัยนั้น หลักคำสอนต่างๆของนิกายไม่ค่อยจะเป็นที่ยอมรับสักเท่าไหร่ มักจะถูกเรียกว่าคริสนิกายนอกรีตจากผู้คนในยุคนั้น แต่ไม่ว่าด้วยสาเหตุอันใด ในวัยเด็กรัสปูตินเลื่อมใสนิกายนี้เป็นอย่างมาก และเหมือนกับว่าเขาจะมีพลังพิเศษที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นอนาคตได้ ด้วยพลังพิเศษที่ตัวเขามีนี่เอง ชีวิตในวัยเด็กของเขาจึงไม่มีเพื่อน เพราะเขามีบุคคลิกที่แปลก เป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดกับใคร หรือ ทำกิจกรรมร่วมกับใคร บ่อยครั้งผู้คนมักต่างหวาดกลัวและไม่กล้าที่เข้าใกล้เขา
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1877 รัสปูตินตัดสินใจเข้าบวชเป็นนักบวชในนิกายคริสติ พำนักอยู่ในอาราม Verkhoturye และมีมาคาเรีย (Makariy) เป็นอาจารย์ ในช่วงแรก ผู้คนในเมืองที่รัสปูตินพำนักต่างเคารพเลื่อมใสเขาเป็นอย่างมาก เพราะด้วยบุคคลิกและหน้าตาอันหล่อเหลาของรัสปูติน เป็นที่ชื่นชอบของใครต่อหลายคน ผู้คนต่างให้ความนับถือและตั้งให้เขา เสมือนกับเทพบุตร ที่จุติลงมาเพื่อชี้นำคำสอน แต่พอเวลาผ่านไปได้ไม่นาน ทุกคนต่างก็ได้รู้ความจริงว่ารัสปูติน ไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิด ด้วยหลักคำสอนและการชี้นำของเขาหลายอย่าง ต่างสวนทางตามหลักคำสอนเดิมมาก เขามีความเชื่อที่ว่าทุกคนต้องได้รับการชำระบาป และการชำระบาปจะต้องทำการร่วมประเวณีกับผู้หญิงเพื่อที่จะหลุดพ้น รวมทั้งผู้หญิงที่ต้องการจะหลุดพ้น ก็จะต้องร่วมหลับนอนกับชายหนุ่ม นับเป็นการสอนที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ในภายหลังทุกคนจึงตั้งฉายาให้แก่ รัสปูตินว่า Icha หรือ นักบวชวิปลาส
หลังจากนั้น รัสปูตินได้ออกจากอาราม เขาเดินทางกลับมาที่บ้านเกิด และในปีค.ศ. 1889 รัสปูตินได้แต่งงานกับ ปราสโกเวีย เฟโอโดรอฟนา ดูโบรวินา (Praskovia Fyodorovna) และมีลูกด้วยกัน 4 คน แต่ต่อมาไม่นานเขาก็ต้องสูญเสียบุตรไป1 คน ตั้งแต่ยังเป็นทารก เขาจึงเหลือบุตรอีก 3 คน ได้แก่ Dmitri เกิดใน ค.ศ. 1897 , Matryona เกิดใน ค.ศ. 1898 และ Varvara เกิดใน ค.ศ. 1900 ซึ่งการสูญเสียนี่เอง ได้สร้างบาดแผลในใจให้แก่รัสปูตินเป็นอย่างมาก เขาได้ตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเองมากมาย ว่าทำไมเขาจึงไม่สามารถช่วยรักษาบุตรของตัวเองได้ ความเศร้าโศกเสียใจนี้ได้กัดกินรัสปูตินไปเป็นเวลานาน
จนในที่สุดในปีค.ศ. 1901 รัสปูตินจึงตัดสินใจ ออกเดินทางแสวงบุญเพื่อให้เขาค้นพบหนทาง และเริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ การเดินทางนี้ทำให้เขาไปยัง กรีก และ เยรูซาเล็ม เป็นเวลากว่า2ปีที่รัสปูตินใช้เวลาเดินทางเพื่อแสวงบุญ ในบันทึกไม่ได้กล่าวถึงว่าตลอดการเดินทาง 2 ปี ของรัสปูติน เขาได้ไปพบเจอกับอะไรมาบ้างอย่างไร แต่การเดินทางสามารถพิสูจน์ได้ว่าเขาได้ค้นพบอะไรบางอย่าง ที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเขาไปตลอดการ
เมื่อการเดินทางของเขาสิ้นสุดลงในปีค.ศ. 1903 รัสปูตินจึงตัดสินใจ เดินทางกลับมารัสเซีย ตลอดเวลาแห่งการเดินทางใน 2 ปีนี้ ทำให้รัสปูตินได้ค้นพบพลังที่ตัวของเขามี เมื่อกลับมาถึงเขาได้ประกาศตน พร้อมทั้งแสดงพลังที่เขามี พลังนั้นสามารถรักษาโรคต่างๆให้หายได้ หลังจากนั้นชื่อเสียงของรัสปูตินก็กับมามีชื่อเสียงอีกครั้ง หลายคนที่ให้เขาช่วยรักษาก็มักจะหายจากโรคนั้น ได้อย่างน่าอัศจรรย์ นับเป็นการเรียกคืน ความศรัทธาในหมู่ผู้คนกลับคืนมาได้สำเร็จในเวลาไม่นาน
จนเมื่อปีค.ศ. 1904 องค์ชายอเล็กไซ พระโอรสองค์โตในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ทรงประสูติ แต่ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคฮีโมฟีเลีย (Haemophillia) หรือพระโลหิตไหลออกง่ายและหยุดยาก เนื่องจากพระโลหิตผิดปกติ ซึ่งในสมัยนั้นโรคนี้สามารถคร่าชีวิตคนได้ พระเจ้าซาร์ได้ระดมกำลังคนและทุนทรัพย์จำนวนมากหาหมอฝีมือดีมาหลายคนจากทั่วทุกที่ในรัฐเซีย และยุโรป แต่ก็ไม่มีหมอท่านใดสามารถที่จะรักษาพระอาการขององค์ชายได้
จนกระทั่งพระเจ้าซาร์ได้รู้ข่าวเกี่ยวกับนักบวช ปริศนารูปหนึ่งจากมหาดเล็กในวัง ว่านักบวชรูปนั้นมีพลังวิเศษที่สามารถรักษาอาการป่วยได้อย่างอัศจรรย์นัก พระเจ้าซาร์จึงได้สั่งให้ไปนำตัวนักบวชคนนั้น มาเข้าเฝ้าพระองค์ มหาดเล็กจึงรับคำสั่งและไปเชิญรัสปูติน ให้เดินทางมาพบพระเจ้าซาร์ที่พระราชวัง เมื่อมาถึงพระเจ้าซาร์ได้รับสั่งให้รัสปูติน ช่วยหาวิธีรักษาพระโอรสองค์โต รัสปูตินได้รับปากและบอกว่าเขาจะรักษาองค์ชายให้หาย ไม่รู้ว่าเขาใช้วิธีไหน
แต่รัสปูตินกับสามารถรักษาพระอาการป่วยขององค์ชายอเล็กไซหายได้อย่างน่าเหลือเชื่อ (ซึ่งปัจจุบันก็มีข้อถกเถียงต่างๆนาๆ ถึงวิธีการรักษาของรัสปูติน ว่าเขาใช้วิธีไหนในการรักษา บ้างก็บอกว่าเขาใช้ยาที่ผสมพืชสมุนไพร แต่ข้อสันนิษฐานที่นักประวัติศาสตร์คิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดของวิธีที่รัสปูตินใช้ คือ สะกดจิตให้องค์ชายหลับไป และปล่อยให้ระบบในพระวรกายเยียวยาองค์ชายอย่างเงียบๆ จนทรงมีพระอาการดีขึ้น) หลังจากรัสปูตินสามารถรักษาองค์ชายให้หายได้แล้ว จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เฟโอโดรอฟนาแห่งรัสเซีย (เจ้าหญิงอลิกซ์แห่งเฮสส์และไรน์) พระมารดาขององค์ชายอเล็กไซ และพระเมหสีในพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 จึงขอให้รัสปูตินเข้ามาอยู่ในวัง เพื่อดูแลอเล็กไซต่อ ทำให้ชีวิตของรัสปูติน เริ่มมีบทบาทและอำนาจขึ้นมา ด้วยการที่รัสปูตินเป็นคนที่พูดจาโน้วน้าวผู้คนเก่ง
จึงทำให้เวลาไม่นาน เขาก็ได้เริ่มที่จะสนิทกับบรรดาเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ รวมทั้งเหล่าคนชั้นสูงต่างๆในรัสเซีย ในเวลานี้ทุกคนจำนวนมากต่างศรัทธาในตัวรัสปูติน เมื่อมีคนศรัทธา รัสปูตินจึงได้โน้มน้าวและจัดพิธีล้างบาป ซึ่งเป็นงานเลี้ยงที่ใช้เงินและการจัดงานเป็นจำนวนมาก ในงานเลี้ยงหรือพิธีล้างบาปตามบันทึก ได้กล่าวไว้ว่าเป็นงานเลี้ยงที่ผู้คนมากมายในชนชั้นสูง ต่างมาเข้าร่วมเพื่อที่จะล้างบาป และการล้างบาปตามฉบับนิกายคริสติที่รัสปูตินศรัทธาคือ การล้างบาป ด้วยการทำบาปเพื่อที่จะหลุดพ้น และการละทิ้งกิเลศตัณหาแห่งกามราคะ ด้วยการมีเซ็กแบบมาราธอนจนหมดความกระหายในเซ็ก ล้วนแล้วแต่เป็นความเชื่อที่รัสปูตินได้เผยแพร่มาในช่วงนั้น และแน่นอนเมื่อมีคนเห็นด้วย ก็ย่อมมีคนที่ไม่เห็นด้วย
เหล่าผู้คนที่ไม่เห็นด้วยต่างนำเรื่องอื้อฉาวนี้เข้า ทูลกล่าวแก่พระเจ้าซาร์ว่ารัสปูตินใช้เงินในการจัดพิธีล้างบาปเป็นจำนวนมาก และพิธีนี้ก็จัดบ่อยขึ้นเป็นการนำภาษีมาใช้อย่างไม่มีประโยชน์ เมื่อได้ยินเช่นนั้น พระเจ้าซาร์จึงเรียกรัสปูตินมาว่ากล่าวตักเตือนและร้องขอให้เขาหยุดการจัดพิธีล้างบาป หรือ ให้จัดพิธีนี้น้อยลง ซึ่งการออกมาพูดของพระเจ้าซาร์ สร้างความรู้สึกไม่ค่อยพอใจแก่ รัสปูตินเป็นอย่างมาก
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1914 สถานการณ์ในยุโรปไม่ค่อยจะสู้ดีนัก มีแววว่าจะเกิดสงครามโลกเป็นแน่ ในเวลานี้เศรษฐกิจตกต่ำเป็นอย่างมาก ประชาชนเริ่มอดอยากแร้นแค้น พระเจ้าซาร์จึงตัดสินใจเรียกเงินที่รัสปูตินเบิกไว้ใช้ในพิธีล้างบาปคืน เพื่อนำมาช่วยเหลือประชาชนและบอกให้เลื่อนพิธีไปก่อน การกระทำนี้ของพระเจ้าซาร์ทำให้รัสปูตินโมโหเป็นอย่างมาก กปรกับที่ในเวลานี้สงครามโลกครั้งที่1 ได้เกิดขึ้น รัสปูตินจึงอาศัยโอกาสนี้ แกล้งทำนายพระเจ้าซาร์ว่า พระเจ้าซาร์ต้องไปบัญชาการรบเอง รัสเซียจึงจะมีชัย ด้วยการทำนายนี้ พระเจ้าซาร์จึงต้องจำยอมออกไปบัญชาการรบด้วยตัวของท่านเอง และมอบอำนาจทุกอย่างให้จักรพรรดินีอเล็กซานดรา เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ซึ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นความตั้งใจของรัสปูตินทั้งหมด เพราะจักรพรรดินีอเล็กซานดรา มีความเชื่อในตัวรัสปูตินเป็นอย่างมาก
รัสปูตินจึงใช้ความเชื่อพระองค์ เป่าหูให้พระองค์นำเงินมาใช้จัดงาน และออกคำสั่งไล่ขุนนางและชนชั้นสูงที่ไม่ค่อยถูกกับเขาออกไปที่อื่น ซึ่งการกระทำของรัสปูตินสร้างความคับแค้นใจต่อพวกขุนนางเป็นอย่างมาก และรวมถึงประชาชนที่ตอนนี้ก็ลำบากอยู่แล้ว กับต้องมาเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีก จากนโยบายที่รัสปูตินออกมาใช้นี้ จึงทำให้ประชาชนจำนวนมาก หมดความอดทน พวกเขาต่างลุกหือ ประท้วง ก่อจราจล ขึ้นตามหัวเมืองต่างๆ ลุกลามจนจะกลายเป็นการก่อปฎิวัติ จึงทำให้พระเจ้าซาร์ที่กำลังบัญชาการรบอยู่ จำเป็นต้องรีบกลับมาเพื่อจัดการกับเรื่องนี้
เมื่อกลับมาถึงรัสปูตินได้จัดงานเลี้ยงต้อนรับ รวมทั้งการปรนนิบัติให้พระเจ้าซาร์มีความสุข จนลืมเรื่องที่ตนเองกำลังจะมาจัดการ ด้วยความที่ท่านรู้สึกเหนื่อยและอยากจะพักผ่อน กปรกับได้รับการต้อนรับและการปฎิบัติที่ดีของรัสปูติน ท่านจึงมอบหมายให้รัสปูตินจัดการเรื่องนี้ นับเป็นความผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่พระเจ้าซาร์ตัดสินใจ ให้รัสปูตินจัดการเรื่องนี้เอง เพราะแทนที่เขาจะหาวิธียุติการประท้วงนี้ด้วยสันติ เขากับทำตรงกันข้ามด้วยการสั่งบังคับใช้กำลังพลเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง การกระทำนี้เสมือนฟางเส้นสุดท้ายของประชาชน เมื่อขาดลงในเวลานี้การต่อต้านลุกลามขึ้นเป็นวงกว้างมากขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่ง เจ้าชายเฟลิกซ์ ยูสชูปอฟ ทรงเห็นแล้วว่าถ้าปล่อยรัสปูตินไว้จะไม่เป็นผลดีต่อตนเองและชาติบ้านเมือง ท่านจึงร่วมมือกับแกรด์ดยุคดมิทรี พัฟโลวิช เพื่อวางแผนลวงสังหารรัสปูติน โดยจะเชิญรัสปูติน มาร่วมงานเลี้ยงเล็กๆที่จัดขึ้น ในวังเจ้าชาย และจะอาศัยจังหว่ะนั้นวางยาพิษไซยาไนด์ในเครื่องดื่มและเค้กของรัสปูติน เมื่อรัสปูตินมาถึง เจ้าชายเฟลิกซ์ได้ออกไปต้อนรับ และเชื้อเชิญให้รัสปูตินเข้ามาร่วมในงานเลี้ยงนี้ อีกทั้งยังคะยั้นคะยอให้รัสปูติน ทานเค้กที่เตรียมให้เป็นพิเศษ เมื่อรัสปูตินเห็นเขาก็ไม่ได้พูดอะไร กับทานเค้กที่ใส่ไซยาไนนั้นจนหมด แต่แทนที่เขาจะตาย รัสปูตินกับลุกขึ้นเดินได้ปกติเสมือนกับตัวเขาเองไม่เป็นอะไร
เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น เจ้าชายเฟลิกซ์จึงหยิบปืนขึ้นมายิงใส่รัสปูตินหลายนัด แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำให้รัสปูตินตายได้ รัสปูตินได้พยายามวิ่งหนีจนออกมาข้างนอก แต่เจ้าชายเฟลิกซ์ก็ได้วางกำลังพลไว้ข้างนอก เพื่อใช้จัดการรัสปูตินไว้ เพื่อกรณีที่เขาจะรู้ทันแผนและชิ่งหนีไปก่อน กำลังพลที่อยู่ข้างนอกต่างระดมยิงปืนใส่รัสปูตินอย่างทันที แต่ไม่ว่าจะยิงไปมากเท่าไหร่ รัสปูตินก็ยังวิ่งและไม่ยอมตายเสียที จนหนึ่งในราชบริพาลของเจ้าชายเฟลิกซ์ได้ยิงลูกกระสุนถูกดวงตา จนทำให้เขาตกลงไปในแม่น้ำและเสียชีวิตลงในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1916 รวมอายุ 47 ปี
หลังจากนั้น 3 วัน กลุ่มของเจ้าชายได้ออกค้นหาจนพบศพรัสปูติน จากการชันสูตรศพ พบว่าเขาเสียชีวิตลงด้วยการจมน้ำ ไม่ใช่เสียชีวิตด้วยกระสุนหรือไซยาไนด์ ซึ่งสร้างความตื่นวิตก กังวลแก่ผู้คนในกลุ่ม จนหลายๆคนกล่าวว่าหรือแท้จริงรัสปูตินคือพ่อมด หรือ ผู้วิเศษอย่างแท้จริง และในเวลาต่อมาได้มีการพบเจอจดหมายที่รัสปูตินเขียนทิ้งไว้ เกี่ยวกับการตายของเขาเป็นเหมือนกับคำทำนายที่ถูกเขียนถึง พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งรัสเซีย ใจความในจดหมายมีอยู่ว่า “ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าตายด้วยน้ำมือของสามัญชน ราชวงศ์โรมานอฟจะปกครองรัสเซียไปได้อีกหลายร้อยปี แต่ถ้าตัวเขาเองถูกฆ่าตายโดยเชื้อพระวงศ์ หรือบรรดาศักดิ์ ราชวงศ์โรมานอฟจะถูกโค่นล้มในอีก 2 ปีข้างหน้า” และในจดหมายยังเขียนอีกหลายเหตุการณ์ และกล่าวเป็นนัยว่าตัวเขาจะเสียชีวิตก่อนที่ จดหมายฉบับนี้จะไปถึงพระเจ้าซาร์ และก็เป็นจริงในจดหมายที่รัสปูตินได้เขียนไว้ ถ้าตัวเขาถูกฆ่าโดยเชื้อพระวงศ์ ราชวงศ์โรมานอฟจะสูญสิ้น ในปีค.ศ.1917 ได้เกิดการปฎิวัติจนนำมาสู่การโค่นล้มอำนาจของราชวงศ์โรมานอฟ และอีก1ปีต่อมา(ค.ศ.1918) ราชวงศ์โรมานอฟทั้งหมดได้ถูกตัดสินประหารและถูกยิงทิ้งทั้งหมด ที่วิลล่าริมทะเลสาปประจำตระกูล เป็นอันสูญสิ้นราชวงศ์โรมานอฟแห่งรัสเซีย
เป็นอันปิดตำนาน ชายที่ชื่อว่า เกรกอรี รัสปูติน นักบวชผู้มีพลังอำนาจลึกลับ ผู้ที่ถูกกล่าวถึงว่าเป็นผู้ช่วยเหลือราชวงศ์โรมานอฟและเป็นผู้ทำลายราชวงศ์โรมานอฟในคนเดียวกัน ถึงเวลาจะผ่านมานานตำนานและเรื่องเล่าของเขาก็ยังคงอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ บอกถึงพลังอำนาจและความลี้ลับของเขา ว่าแท้จริงแล้วเขาคือใคร หรือ เป็นอะไร แม้หลักฐานต่างๆของเขาบางอย่างจะสูญหายไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังเหลือชิ้นส่วนอวัยวะบางอย่างที่ได้ถูกตัดแยกและดองไว้ หนึ่งในนั้นคือ องคชาติของเขาที่ขึ้นชื่อว่ามีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ได้ถูกแช่และจัดโชในพิพิธภัณฑ์อิโมติกา ที่เซ็นต์ปิเตอร์สเบิร์ก โดยวัดขนาดความยาวได้มากถึง11-13นิ้วเลยทีเดียว และยังรวมถึงภาพถ่ายและของเครื่องใช้บางชิ้นทั้ง รัสปูตินและราชวงศ์โรมานอฟ ที่มีมาให้เหล่าผู้คนในยุคปัจจุบันได้ค้นคว้าศึกษา นอกจากนี้ยังมีหนังสือ ภาพยนต์ รวมถึงสารคดี ก็ได้หยิบยกเรื่องราวของเขานำมาจัดทำ เป็นอันพิสูจน์ได้ว่า ไม่ว่าะผ่านมานานแค่ไหน ตำนานและเรื่องเล่าของเขาก็ยังเป็นที่น่าสนใจอยู่จนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง…
ในส่วนอนิเมะ เรื่องมหาศึกคนชนเทพ
ในส่วนของอนิเมะมหาศึกคนชนเทพนั้น ได้หยิบยกนำเอาตัวประวัติของเกรกอรี รัสปูติน นำมาดัดแปลงเป็นหนึ่งในตัวละครของอนิเมะเรื่องนี้ โดยที่รูปร่างหน้าตาของเขายังไม่ได้ปรากฎตัว จะมีเพียงแค่ชื่อ ที่บรุนฮิลได้เสนอไว้ในตอนแรก เป็นหนึ่งในสิบสามวีรชนคนกล้า ที่จะต้องต่อสู้กับเหล่าทวยเทพ พลังและความสามารถของเขายังเป็นปริศนา แต่ประวัติของเขานั่นก็ไม่ธรรมดารวมถึงศาสตร์พลังของเขา ที่น่าจะมีพลังมากพอที่จะต่อกรกับเทพได้ จึงอาจจะเป็นอีกหนึ่งที่ทำให้บรุนฮิลมั่นใจว่า เกรกอรี รัสปูติน จะสามารถต่อสู้กับเทพและนำชัยชนะมาสู่มนุษย์โลก และถ้าเขาทำสำเร็จ เขาจะถือว่าเป็นหนึ่งในตำนานอีกบทที่ผู้คนจะกล่าวถึง ว่าแท้จริงแล้วเขาคือเทพบุตรที่จุติมาเพื่อช่วยมนุษย์อย่างแท้จริง…
(ข้อมูลข้างต้นรวมถึงพลังของ เกรกอรี รัสปูติน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากที่กล่าวมาก็ได้ เพราะข้อมูลพลังของเขายังไม่เปิดเผย รวมถึงคู่ต่อสู้ของเขาก็ด้วย แต่ดูจากลักษณะและประวัติความเป็นมา รวมถึงพลังในการทำนาย และความสามารถในการรักษาโรคที่ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา ผู้เขียนจึงขอคาดเดาไว้ว่า เกรกอรี รัสปูติน น่าจะได้ต่อสู้กับเบลเซบับ ราชาแมลงวัน ที่ถือว่าเป็นต้นกำเนิดหรือเทพแห่งโรคระบาด คนหนึ่งคือหมอคอยรักษา อีกตนเป็นผู้นำพาโรคระบาดมาสู่มนุษย์ การต่อสู้ของทั้งคู่คงจะมันส์และสนุกไม่ใช่น้อย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คู่ต่อสู้เกิดจากการคาดคะเนของผู้เขียนเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ และถ้าผิดพลาดไปประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย ขอบคุณครับ..)
มหาศึกคนชนเทพ เกรกอรี รัสปูติน (Record of Ragnarok)
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending