มหาศึกคนชนเทพ โลกิ (Loki)
โลกิ เป็นหนึ่งในตัวแทนของฝั่งเทพที่เข้าร่วมศึกในครั้งนี้ เขาเป็นเทพที่มีตัวตนอยู่ในตำนานของชาวนอร์ส(ไวกิ้ง) เป็นเทพที่ถูกขนานนามว่าเป็นจอมหลอกลวงและการโกหก เขาชื่นชอบที่จะหลอกลวงและกลั่นแกล้งคนอื่นอยู่เสมอ เพราะการแกล้งนั้นเป็นสิ่งที่โลกิชอบมากที่สุด ในการแกล้งแต่ล่ะครั้งมีตั้งแต่เรื่องเล็กๆไปจนถึงเรื่องใหญ่ จนในบางทีก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถึงตัวโลกิจะมีข้อเสียที่การชอบแกล้งคนอื่นอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า โลกิเองก็ถือว่าเป็นเทพที่มีพลังอำนาจและความสามารถในการต่อสู้เป็นเลิศไม่ด้อยไปกว่าเทพสงครามองค์ไหนๆ จนเมื่อศึกแรคนาร็อกเริ่มขึ้น ซูสได้เข้ามาและเลือกให้โลกิเข้าร่วมสู้ ถึงแม้ในทีแรกจะดูไร้สาระ แต่เมื่อคิดว่าเขาจะได้สามารถเล่นและกลั่นแกล้งมนุษย์ได้โดยไม่ผิดกฎ ก็ทำให้เขารู้สึกสนุกจนไม่อาจจะปฎิเสธได้ โลกิจึงเข้าร่วมและพร้อมจะหาความสนุกนั้นจากตัวมนุษย์….
ประวัติ ตามตำนาน เทพของชาวนอร์ส(สแกนดิเนเวีย)
โลกิ เป็นเทพในตำนานของชาวนอร์ส เฉกเช่นเดียวกับ เทพโอดินและเทพธอร์ ถูกขนานนามว่าเป็นเทพแห่งการโกหก หลอกลวง มีความซุกซนและชอบหาความสนุกให้แก่ตนเองเสมอ โดยบางครั้งเรื่องสนุกที่โลกิทำนั้น ก็สร้างความเดือดร้อนให้แก่เทพต่างๆแห่งแอสการ์ดอยู่ไม่น้อย จึงไม่แปลกที่ผู้คนมักจะคิดไปในทางไม่ดีเกี่ยวกับเทพโลกิ เพราะด้วยเอกลักษณ์ของเขาเองที่ถือว่าอยู่ตรงข้ามกับเทพแห่งแอสการ์ดทั้งหมด
ประวัติการเกิดของโลกิตามตำนานได้ถูกกล่าวอย่างคลุมเคลือ มีหลายสมมุติฐาน แต่ที่ได้รับการยอมรับจะมีด้วยกัน 2แบบ ที่ได้จากบันทึกของชาวนอร์สที่กล่าวเอาไว้ว่า โลกิเป็บุตรของยักษ์ฟาโบติ(Farbauti) และลอเฟย์(Laufey) ยักษ์ที่เก่าแก่ เขาถือกำเนิดมาพร้อมกันกับตอนที่เทพสร้างโลก กล่าวกันว่าเมื่อตอนโลกิเกิด เขาได้ดูดซับเอาพลังของความสับสนและความบิดเบี้ยวของโลกเข้าสู่ตนเอง จึงทำให้เขามีพลังติดตัวที่มากเป็นพิเศษตั้งแต่ยังเป็นเด็ก จนในเวลาต่อมา เมื่อเทพโอดินได้ทราบข่าว ก็ได้เดินทางมาเพื่อพบกับโลกิ พร้อมทั้งยังชักชวนให้โลกิกลับไปกับเขาเพื่อเป็นเทพแห่งแอสการ์ด พวกเขาได้ทำการสาบานเพื่อเป็นพี่น้องกัน ด้วยการดื่มเลือดของกันและกันเป็นการสาบาน ซึ่งพิธีนี่ได้รับความนิยมอย่างมากในยุคสมัยนั้น เมื่อสิ้นสุดคำสาบานพวกเขาทั้งคู่ก็กลายเป็นพี่น้องกัน
อีกตำนานก็กล่าวว่า เทพโอดินได้มาหาโลกิและนำพาให้โลกิไปเป็นหนึ่งในเทพแห่งแอสการ์ด พร้อมทั้งแต่งตั้งให้โลกิเป็นบุตรบุญธรรมของตน ให้มีสถานะเฉกเช่นเดียวกับบุตรคนอื่น พร้อมทั้งเลี้ยงดูและมอบความรักให้แก่โลกิเสมอมา แต่ไม่ว่าตำนานการถือกำเนิดของโลกิจะเป็นแบบไหน โลกิก็ถือว่าเป็นเทพองค์หนึ่งแห่งแอสการ์ด
หลังจากนั้น โลกิก็ใช้ชีวิตเป็นเทพที่แอสการ์ดเรื่อยมา ในช่วงเวลานั้นเขาได้ออกเดินทางเพื่อทำภาระกิจต่างๆ กับเทพองค์อื่นในแอสการ์ดตลอด ด้วยฝีมือและพลังที่โลกิมี ไม่นานเขาก็ได้รับความยอมรับเรื่องพลังที่เขามี ในหลายภาระกิจโลกิก็ทำมันได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถึงจะมีพลังอำนาจที่แข็งแกร่งจนเทพหลายองค์ให้การยอมรับ แต่นั่นก็แค่พลังเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับ ส่วนเรื่องนิสัยของโลกิ ถ้าให้กล่าว ไม่มีเทพองค์ใดในแอสการ์ดรู้สึกชอบโลกิเลย เพราะโลกิเป็นพวกที่ขี้เล่นเป็นอย่างมาก เขาชอบที่จะหาเรื่องต่างๆขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งเทพองค์อื่นอยู่เสมอ การแกล้งของเขามีตั้งแต่เรื่องเล็ก ไปจนถึงเรื่องใหญ่ ซึ่งสร้างความปวดหัวให้แก่เทพแอสการ์ดในเวลานั้นเป็นอย่างมาก จนถึงขนาดที่เทพโอดิน ในบางครั้งยังต้องเอ่ยปากปรามเรื่องการเล่นซุกซนของโลกิอยู่เป็นประจำ
เทพโลกิถือว่าเป็นเทพที่มีพลังอำนาจมากตนหนึ่งในแอสการ์ด เพราะฉะนั้นแล้ว ผู้ที่จะสามารถหยุดหรือห้ามปรามเขาได้ ในแอสการ์ดจะมีเพียงเทพ 2 องค์เท่านั้น ที่โลกิเกรงกลัว คือ เทพโอดินและเทพธอร์ ที่สามารถสั่งให้เขาหยุดได้ แต่ถึงโลกิจะกลัวเทพทั้ง 2 มากแค่ไหน การกลั่นแกล้งและการเล่นแผลงๆ ของเขาก็ยังมีอยู่ หนึ่งในวีรกรรมการเล่นพิเรณที่ทำให้เทพแอสการ์ดต้องโมโห คือการที่โลกิไปตัดผมของเทพีซิฟ(Sif) ภรรยาของเทพธอร์ เหตุการณ์ในคืนนั้น เทพโลกิได้แอบเข้าไปยังห้องนอนของเทพีซิฟ พร้อมกับกรรไกรเล่มหนึ่ง ที่โลกิมักจะพกติดตัวไว้เสมอ เมื่อมาพบเข้ากับเทพีซิฟที่กำลังนอนหลับอย่างไม่ได้สติ เทพโลกิก็นึกสนุกขึ้นมา จึงใช้โอกาสนี้ ตัดผมสีทองอันสวยสง่าของเทพีซิฟออกเป็นหลายส่วน และโปรยเศษผมทั้งหมดไว้ทั่วห้อง สำหรับเทพโลกิเรื่องนี้ดูเป็นเรื่องที่ตลกเป็นอย่างมาก แต่สำหรับเทพีซิฟแล้ว เรื่องนี่ไม่ตลกเลย!!
เมื่อรุ่งเช้ามาถึง เทพีซิฟได้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับพบว่าผมของตนถูกตัดทำลายไปจนหมด ก็เกิดอาการตกใจปนเสียใจอย่างหนัก เทพีซิฟได้ร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ เพราะสำหรับผู้หญิงทุกคนแล้ว ผมบนศีรษะ ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่เป็นดั่งของรักของผู้หญิงทุกคน เสียงร้องห่มร้องไห้เสียใจ ดังออกไปทั่วปราสาท จนทำให้เทพธอร์ตกใจ เขาจึงรีบเข้าไปหาเทพีซิฟในห้องนอนอย่างทันที เมื่อมาพบกับภาพเหตุการที่เกิดขึ้นกับภรรยาอันเป็นที่รักของตน ก็เกิดอาการแค้น และรู้ได้ในทันทีว่านี่ ต้องเป็นฝีมือของโลกิเป็นแน่ เทพธอร์จึงได้คำรามในลำคอ พร้อมทั้งพุ่งออกไปเพื่อตามล่าโลกิ
ทางด้านโลกิเองก็ตกใจเป็นอย่างมากว่าเรื่องแค่นี้ ทำไมจะต้องโมโหกันด้วย เทพโลกิจึงไม่รอช้า เขาได้รีบหนีออกจากที่พำนักของตนอย่างไว เพราะไม่อยากต้องมาเจอเทพธอร์ตอนกำลังโมโห อนิจจาถึงพลังของเทพโลกิจะมีมากแค่ไหน ก็ไม่สามารถหลบหนีเทพธอร์ได้ เพียงไม่นานโลกิก็ถูกเทพธอร์จับกุมตัวได้ เทพธอร์เดือดดาลจนถึงขนาดกำหมัดหวังจะทำร้ายโลกิ แต่ด้วยความที่เทพโลกิขึ้นชื่อว่ามีฝีปากการพูดรวมถึงการโน้มน้าวขั้นเทพ เขาได้เกลี้ยกล่อม พร้อมทั้งขอโทษและบอกว่าตัวเขาจะแก้ไขสิ่งที่ทำลงไปเอง เมื่อได้ยินเช่นนั้น เทพธอร์ก็ใจอ่อน และฟังข้อเสนอของเทพโลกิ
เมื่อเห็นว่าเทพธอร์ยอมรับฟังตน โลกิจึงเสนอว่าเขาจะเดินทางไปหาพวกคนแคระที่ สวาร์ทาฟไฮล์ม พร้อมทั้งจะออกตามหาบุตรของคนแคระอิวาลดี(Ivaldi) ช่างประดิษฐ์ของที่เก่งที่สุดเท่าที่เชื้อสายคนแคระจะมีอยู่ เพื่อที่จะให้ผลิตวิกผมวิเศษขึ้นมามอบให้แด่เทพีซิฟ อีกทั้งจะจัดหาของขวัญสุดแสนพิเศษเพื่อมอบให้แก่เทพแห่งแอสการ์ด โดยเฉพาะเทพโอดินและเทพีเฟรย์ที่ตอนนี้ กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ให้ทุเลาลงก็ยังดี
เมื่อเห็นถึงความตั้งใจ เทพธอร์จึงปล่อยให้โลกิไปทำสิ่งที่ตนได้กล่าวออกมา พร้อมทั้งบอกว่าโลกิอย่าคิดเล่นไม่ซื่อหนีไปเป็นอันขาด โลกิได้รับปากเทพธอร์ เพียงเวลาไม่นาน เขาก็ได้มาถึงสวาร์ทาฟไฮล์ม เทพโลกิได้ออกค้นหาอยู่หลายวัน จนในที่สุดก็ได้เจอบุตรของอิวาลดี เมื่อเจอแล้วโลกิได้เข้าไปทำการร้องขอให้สร้างสิ่งที่ตนต้องการ ในทีแรกพวกคนแคระบุตรของอิวาลดีต่างปฎิเสธที่จะสร้างของที่เทพโลกิร้องขอ แต่ด้วยความสามารถทางด้านโน้มน้าวใจคน ที่เก่งเป็นพิเศษของโลกิแล้ว ไม่นานบุตรแห่งอิวาลดีก็เริ่มคล้อยตามคำพูดของโลกิ ที่ได้กล่าวออกมา พวกเขาคนแคระจึงเริ่มสร้างสิ่งของที่โลกิร้องขอ
เทพโลกิได้นั่งรออยู่หลายวัน จนกระทั่งของที่เขาให้คนแคระสร้างก็เสร็จสิ้นในที่สุด นอกจากมีวิกผมสีทองอร่ามที่สวยงามที่จะนำไปมอบให้กับเทพีซิฟแล้ว ยังมีหอกวิเศษที่ชื่อ กุงเนีย หอกศักสิทธิ์ที่กล่าวกันว่าเมื่อเขวี้ยงออกไปจะไม่มีวันพลาดเป้าเป็นอันขาด อีกทั้งเมื่อใครก็ตามที่สาบานต่อหอกนี้แล้ว ก็ไม่สามารถที่จะตระบัดสัตย์นี่ได้ รวมถึงเรือสกิดบลาดเนียร์(Skidbladnir) เรือยาวแบบของชาวเหนือซึ่งสามารถพับให้มีขนาดเล็ก จนสามารถใส่กระเป๋าเสื้อ ไปไหนมาไหน โดยไม่มีน้ำหนักเลย นำมามอบให้แก่เทพีเฟรย์ เมื่อของต่างๆ ถูกเตรียมพร้อมแล้ว โลกิก็ได้รีบเร่งเพื่อกลับไปยังแอสการ์ดในทันที
ทว่าระหว่างเดินทางกลับ เทพโลกิได้ไปพบเข้ากับสองพี่น้องคนแคระบรอคค์(Brokk)และเอทรี(Eitri) ที่กำลังเดินผ่านมา ในทีแรกคนแคระทั้งสองทำเป็นไม่สนใจโลกิ แต่ทันใดนั้นเมื่อพวกเขาเหลือบไปเห็นสิ่งของมากมายที่โลกินำมาด้วย ก็รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้รีบเข้ามาและขอดูของเหล่านั้นจากเทพโลกิ ยังไม่ทันที่เทพโลกิจะตอบอะไร ด้วยนิสัยของคนแคระที่เป็นพวกเอาแต่ใจตน เมื่อเห็นถึงสิ่งที่ถูกใจแล้ว พวกเขาไม่รอให้โลกิอนุญาติก็รีบหยิบของพวกนั้นขึ้นมาดูอย่างพินิจวิเคราะห์อย่างทันที
การกระทำนี้ของคนแคระทั้งสอง สร้างความขุ่นเคืองแก่โลกิเป็นอย่างมาก แต่ยังไม่ทันที่โลกิจะทำอะไร คนแคระทั้งสองก็คืนของเหล่านั้นแก่โลกิเสียแล้ว พร้อมทั้งพูดเปรียบเปรยว่า
“นี่ต้องเป็นผลงานของพวกบุตรอิวาลดีแน่นอน พวกเขาทำมันออกมาได้ดี แต่น่าเสียดายที่พวกเราสองพี่น้องทำมันได้ดีกว่า”
คำพูดที่แสดงออกมาในครั้งนี้ ก็ทำให้โลกิรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก กปรกับการกระทำเมื่อตอนแรกของสองพี่น้องคนแคระแล้ว ก็ทำให้โลกิระเบิดอารมณ์ออกมา เขาได้พูดถากถางพร้อมเย้ยหยันใส่พวกคนแคระสองพี่น้องกับไปว่า
“เหอะ พวกคนแคระที่ไม่รู้อะไรเลย คิดว่าตนเก่ง ตนแน่ แต่ที่ได้ยินมาไม่เคยมีใครฝีมือดีไปกว่าบุตรแห่งอิวาลดีแล้ว ในสวาร์ทาฟไฮล์มแห่งนี้”
คำพูดตอกกลับของโลกิ ทำให้คนแคระทั้งสองโมโหขึ้นมา เพราะคำพูดนี่ของโลกิสำหรับสองพี่น้องคนแคระ ถือว่าเป็นการเหยียดหยามพวกเขาเป็นอย่างมาก
หลังจากนั้นทั้งโลกิและคนแคระทั้งสอง ก็โต้ตอบด้วยฝีปาก ปะทะคารมกันอยู่นาน คนแคระทั้งสองก็ได้แต่พูดว่าพวกเขาเก่งกว่า ฝีมือดีกว่า ส่วนโลกิก็ได้แต่ตอบว่า ไม่เชื่อ ไม่เชื่อ จนกระทั่งในที่สุดเมื่อเห็นว่ายืนเถียงกันไปก็ไม่มีที่สิ้นสุด สองพี่น้องคนแคระจึงท้าโลกิว่า ถ้าพวกเขาสามารถสร้างของออกมาได้ดีกว่าบุตรแห่งอิวาลดีหล่ะ โลกิจะให้อะไรแก่พวกเขา โลกกิจึงตอบกลับไปว่า “ถ้าพวกเจ้าชนะ ข้าจะมอบหัวข้าให้เป็นรางวัล” เมื่อได้ยินคำตอบของโลกิ คนแคระทั้งสองก็ดีใจ เพราะพวกเขามั่นใจในฝีมือของตัวเอง ว่าจะสร้างของที่ดีกว่าของจากบุตรอิวาลดีได้อย่างแน่นอน และถ้าพวกเขาชนะก็จะได้หัวของเทพโลกิเป็นรางวัล เมื่อตกลงกันเรียบร้อย คนแคระทั้งสองก็มุ่งมั่นในการสร้างผลงานของพวกเขาในทันที
วันเวลาผ่านไป ในระหว่างที่รอโลกิก็ได้มาพักยังบ้านของคนแคระทั้งสอง ที่นี่เองเขาได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย เพราะมีทั้งอาหารและเครื่องดื่มดีๆ ให้กินได้อย่างไม่อั้น จนกระทั่งผลงานของคนแคระทั้งสองบรอคค์และเอทรีสำเร็จ พวเขาก็มาเชิญโลกิให้มาดูผลงานของพวกเขา โดยของชิ้นแรกเป็นหมูป่าขนทองกัลลินเบสติ(Gullinbursti) ที่ส่งมอบให้แก่เทพเฟรย์ใช้เป็นยานพาหนะที่จะนำพาไปที่ใดก็ได้ตามที่ตัวของท่านปราถนา ไม่ว่าที่แห่งนั่นจะมืดมิด ไร้ซึ่งแสงสว่าง ขนของกัลลินเบสติตัวนี้ ก็จักส่องแสงนำทางให้ตลอด ชิ้นที่สอง แหวนเดราป์เนียร์(Draupnir) แหวนวิเศษที่สามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเองได้ตลอดทุกๆ 7 วัน และสามารถปรับขนาดของตัวเองได้ตามแต่ใจผู้ใส่ต้องการ อีกทั้งยังลือว่าพลังวิเศษของมันจะนำพาให้ผู้ครอบครองร่ำรวยแบบไม่รู้จบ ของชิ้นนี้มอบให้แก่เทพโอดิน
ส่วนชิ้นสุดท้ายเป็นผลงานชิ้นโบส์แดงของบรอคค์และเอทรี เลยก็ว่าได้ เพราะเป็นชิ้นที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุด เป็นค้อนวิเศษที่มีชื่อว่า โยเนียร์หรือจอลเนียร์(Mjolnir) ที่กล่าวกันว่าเมื่อเจ้าของปราถนาที่จะเขวี้ยงค้อนใส่สิ่งใดจะไม่มีวันพลาดเป็นอันขาด หรือ เมื่อเขวี้ยงออกไปยังเป้าหมายแล้ว ค้อนนี่ก็จะติดตามเป้าหมายไปตลอดจนกว่าจะถึงตัวของเป้าหมายได้ และไม่ว่าเจ้าของจะอยู่ที่ไหนก็สามารถเรียกค้อนนี้กลับมาหาตัวได้ตลอด ของชิ้นสุดท้ายมอบให้แก่เทพธอร์ เมื่อของวิเศษเสร็จบรอคค์และเอทรีก็ออกเดินทางไปแอสการ์ดพร้อมกับโลกิ เอาของไปมอบให้แก่เทพเพื่อช่วยตัดสิน
เมื่อมาถึงแอสการ์ด โลกิและคนแคระทั้งสองก็รีบนำสิ่งของไปมอบให้แก่เทพทั้ง 3 นั่นคือ โอดิน เฟรย์ และธอร์ เมื่อทั้งสามได้เห็นสิ่งของเหล่านี้ก็รู้สึกดีใจและประทับใจเป็นอย่างมาก พวกท่านได้ตรวจดูและพินิจ วิเคราะห์ถึงคุณสมบัติต่างๆ จากของเหล่านี้ที่นำมาให้
จนมาถึงช่วงสุดท้าย โลกิได้เล่าเรื่องการเดิมพันนี้ให้เทพทั้งสามฟัง และให้พวกเขาช่วยตัดสินว่าผลงานใครดีที่สุด ซึ่งข้อตกลงนี้ สร้างความหนักใจให้แก่องค์เทพทั้งสามเป็นอย่างมาก เพราะแต่ละอย่างก็มีดีแตกต่างกันไป เทพทั้งสามจึงปรึกษาหาลือ จนได้ข้อสรุปว่า ค้อนโยเนียร์จากผลงานของบรอคค์และเอทรี คือสิ่งที่วิเศษที่สุด เพราะค้อนอันนี้มีพลังที่อยู่ในตัวของค้อนเองเป็นจำนวนมาก และเมื่ออยู่ในมือของธอร์พลังที่แฝงมาในค้อนก็จะมีพลังที่มากกว่าเดิม ด้วยพลังนี้จะทำให้สามารถจัดการพวกยักษ์ รวมถึงปกป้องแอสการ์ดได้ ชัยชนะจึงตกเป็นของคนแคระทั้งสอง เมื่อได้ยินเช่นนั้น บรอคค์และเอทรีก็ดีใจเป็นอย่างมาก ที่ผลงานของเขาชนะผลงานของพวกบุตรอิวาลดี และยังจะได้หัวของโลกิเทพปากเสียตนนี้มาในครอบครองอีก
พวกคนแคระทั้งสองจึงร้องขอสิ่งเดิมพันที่ตกลงกันไว้ ซึ่งโลกิก็ไม่ได้ว่าอะไร เขาไม่มีทีท่าตื่นกลัว หรือ วิตกกังวล แต่อย่างใด ซึ่งผิดวิสัยของผู้แพ้ที่กำลังจะตาย เขาหันมายิ้มและตอบไปยังคนแคระห์ทั้งสองว่า เขาตกลงที่จะมอบหัวให้ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมอบคอให้ซะหน่อย และถ้าหากบรอคค์และเอทรีสามารถตัดหัวเขาโดยไม่เกี่ยวกับคอได้ก็เชิญ คำตอบนี้ สร้างความโมโหปนตื่นตระหนกให้แก่คนแคระทั้งสอง เพราะพวกเขาพลาดท่าเสียรู้ให้แก่โลกิเสียแล้ว
พวกเขาจึงหันหน้ามาปรึกษา จนได้ข้อสรุปว่า ถึงแม้จะไม่สามารถนำหัวของโลกิกลับไปได้ แต่อย่างน้อยหัวนี่ก็เป็นของพวกเขาตามสัญญา ฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะทำอะไรกับหัวนี่ก็ได้ สิ้นสุดคำพูด บรอคค์และเอทรีก็เดินเข้ามาหาโลกิ พร้อมทั้งเข็มและด้ายอยู่ในมือทั้งสอง พวกเขาได้ใช้สิ่งเหล่านี้ช่วยกันเย็บปากโลกิให้ติดกัน ความเจ็บปวดที่เข็มทิ่มแทงได้เล่นงานโลกิอย่างหนัก
จนเวลานั้นเทพโลกิได้หันไปมองยังเทพทั้งสาม เพื่อหวังว่าเทพทั้งสาม จะออกตัวเข้ามาช่วยเขาจากการโดนเย็บนี้ แต่ก็ไม่มีใครลุกเข้ามาช่วยเขาเลย ในขณะนี้ เทพทั้งสามต่างให้ความสนใจกับสิ่งของวิเศษต่างๆ ที่เขาได้รับมา ภาพที่โลกิเห็นนั้นได้สร้างรอยบาดแผลในใจของเขา ความโกรธและเกลียดเริ่มกัดกินหัวใจของเขาอย่างช้าๆ
เมื่อคนแคระทั้งสองได้เย็บปากของโลกิเสร็จแล้ว พวกเขาก็รู้สึกพอใจที่อย่างน้อยก็ได้มอบบทลงโทษให้แก่เทพจอมกระร่อนองค์นี้ได้ หลังจากนั้นพวกเขาก็เดินทางออกจากแอสการ์ดและกลับไปยังสวาร์ทาฟไฮล์มตามเดิม เมื่อพวกคนแคระไปกันหมดแล้ว โลกิก็ได้ใช้พลังของตนดึงด้ายที่พันธนาการปากเอาไว้ออกจนหมด และเขาก็เดินกลับไปยังวังของตนพร้อมทั้งความขุ่นมัวที่อยู่ในใจ
มหาศึกคนชนเทพ โลกิ (Record of Ragnarok) ep.2
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending