คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่35
บทที่35 พาทัวร์ภายในแดน
“จงอย่าหวั่นไหว กับทางที่คุณเดิน ถึงแม้มันจะมีอุปสรรคซักเท่าไหร่ ก็จงเชื่อมั่น ว่าปลายทางจะทำให้คุณนั้นยิ้มได้เสมอ…”
**หลังจากที่ผมได้บรรยายลักษณะความเป็นอยู่บนโรงงาน 2 ให้คุณผู้อ่านได้ฟังแล้ว ต่อไปผมก็จะพาทัวร์รอบๆแดนเด็ดขาดชาย ที่ผมจะต้องใช้ชีวิตอยู่เป็นเวลาอีก 4 ปี ผมก็อยากจะรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งความเป็นอยู่ ที่ผมเคยสัมผัสมาเมื่อ 2 ปี ที่แล้วมันจะมีอะไรเหมือนเดิม หรือเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน รวมทั้งบรรดาเหล่านักโทษที่ผมรู้จักยังมีใครอยู่หรือปล่อยตัวไปแล้วบ้าง เพราะว่าบรรดาเพื่อนฝูงและคนรู้จักของผมไม่ได้มีแค่บนโรงงาน 2 หรือแค่ในบ้านที่ผมกินอยู่เท่านั้น
อีกทั้งผมจะต้องพาไอ้แว่นไปดูสิ่งต่างๆรอบแดนว่าอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วก็พามันไปสัมผัสความเป็นอยู่ ของคนในแดนนี้ให้มันได้เข้าใจเพราะว่ามันนั่นแหละ ที่ต้องคอยเป็นลูกมือของผม ในหลายๆอย่าง แต่ไอ้แว่นมันเป็นคนหัวไว และเป็นคนที่ตื่นตัวไม่ขี้เกียจ มันต่างจากคนที่ติดคุกรอบแรกทั่วไป ที่มักจะไม่ค่อยสนใจเอาอะไร หวังและรอแต่ญาติ มาเยี่ยมอย่างเดียว แต่ไอ้แว่นนั้น ไม่ว่าผมบอกและสอนมันแค่ครั้งเดียวมันก็สามารถเข้าใจและทำตามได้ โดยที่ผมไม่ต้องพูดมากและต้องคอยบอกอะไรซ้ำกับมันเลย **
ผมมองดูเวลาเพิ่งจะ 13:30 น มันยังมีเวลาเหลืออยู่อีกมาก กว่าจะอาบน้ำ กินข้าว แล้วขึ้นเรือนนอน ผมจึงหันมาพูดกับไอ้แว่นว่า “ไอ้แว่นมึงไปกับพี่พี่จะพามึงไปทัวร์รอบๆแดน มึงจะได้รู้ว่าที่แดนนี้อะไรมันอยู่ตรงไหนบ้างแล้วก็จะพามึงไปรู้จักกับคนอื่นๆเผื่อวันข้างหน้ากูใช้อะไรมึงจะได้ไปถูก” ไอ้แว่นไม่ได้มีอาการอืดอาดยืดยาดอะไรเลย มันรีบลุกขึ้นตามผมไปในทันที “ไปกันพี่ผมก็เบื่อๆอยู่เฉยๆเหมือนกัน ผมก็อยากจะรู้ว่าในแดนนี้มันน่าอยู่ขนาดไหน ” มันเดินไปด้วย แล้วก็พูดกับผมไปด้วยจึงทำให้ผมคิดในใจว่า มันคงอยากจะรู้ถึงสาเหตุว่าทำไมผมถึงดิ้นรนย้ายมาแดนนี้ให้ได้ไวที่สุด ถึงขนาดยอมเสียเงินมาก็ตาม ทั้งๆที่ก็รู้ว่าอาทิตย์นี้จะมีการย้ายแดน มาแดนนี้ก็ตาม
“เดี๋ยวมึงก็รู้ว่ามันน่าอยู่ขนาดไหนแล้วเดี๋ยวมึงก็รู้ว่าพี่มึงคนนี้อยู่แบบนี้แล้วเป็นยังไง ” ผมพูดกับมันแค่นี้แล้วเดินลงบันไดไป ยังไม่พ้นบันไดโรงงานดีเลยก็มีคนที่ผมได้รู้จักดีตะโกนทักผม “ไอ้ใหญ่..โครตคิดถึงมึงเลย กูได้ยินข่าวแว่วๆว่ามึงเกมเข้ามาแล้ว แต่ไม่รู้จะติดต่อมึงได้ยังไง เมื่อเช้ากูก็เห็นมีคนย้ายแดนมา 2 คน กูยังคิดเล่นๆเลย ว่าน่าจะเป็นมึง และก็จริงอย่างที่กูคิดซะด้วย เป็นไงบ้างสบายดีนะเพื่อนมานั่งคุยกับกูก่อน เดี๋ยวเอาขนมมาให้กินด้วยพวกกูกำลังยืนรอรับของอยู่ ” และคนที่ทักผมคนนี้มีชื่อว่าไอ้คม ไอ้คมนั้นผมรู้จักและสนิทกับมันดี ตั้งแต่ผมอยู่ข้างนอก ตั้งแต่ผมยังไม่เคยโดนจับติดคุกเลยก็ว่าได้นี่ก็จะ 20 ปีแล้วที่รู้จักกับมันจะว่ามันเป็นทั้งลูกน้องแล้วก็เพื่อนของผมไปในตัว นิสัยของไอ้คมนั้นเป็นคนที่คบได้และไว้ใจได้ มันไม่เคยหักหลังหรือทรยศผมเลย
มันเป็นคนที่รู้จักบุญคุณคนนึงเพราะว่าผมเป็นคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมัน ทั้งที่ตอนนั้น ผมกับมันไม่เคยรู้จักกันเลย ผมให้ทั้งที่อยู่ที่กิน และรถมอเตอร์ไซค์กับมัน มันเป็นเด็กวิ่งงานให้กับผม(ขายยา) สมัยนั้นผมจำได้ดีมันเป็นยุคที่ยาบ้าเม็ดละ 350 บาท
คมเป็นคนที่ซื่อสัตย์และซื่อตรง มันส่งเงินให้ผมไม่เคยขาดแม้แต่บาทเดียว นี่คือนิสัยจริงๆของมัน มันเป็นลูกน้องคนเดียวของผม ที่ผมไว้ใจ และไม่ว่ามันจะเอ่ยขออะไร หรือต้องการอะไร ผมให้มันได้ตามที่มันขอ แล้วทุกครั้งที่มันโดนตำรวจจับ มันไม่เคยพูดหรือซัดทอด ชื่อผมเลย อย่างนี้เขาเรียกว่าคนจริงครับ
แต่ตอนนี้ที่มันยังติดอยู่ในคุกนั้นคดีของมันก็คือยาของผมเอง “กูอ่ะสบายดี แต่กูว่าเพราะมึงคิดถึงกูมากนี่แหละ กูถึงได้ต้องเกมเข้ามาหามึงในนี้ไงคราวหลังไม่ต้องคิดถึงกูมากก็ได้นะ เอาไว้คิดถึงกูตอนอยู่ข้างนอกดีกว่า เออ..นี่ ไอ้แว่น น้องกูในนี้นิสัยดีใช้ได้ ” ผมได้แนะนำไอ้แว่นให้มันได้รู้จักแล้ว ที่ผมต้องพูดกับมันว่าน้องกูในนี้ เพราะว่าไอ้คมมันรู้จักกับบ้านผมดี มันรู้ว่าน้องชายผมหน้าตาเป็นไงเพราะมันก็รู้จักดี ไอ้แว่นได้ยกมือไหว้ไอ้คม แล้วมันก็นั่งลงข้างๆผม “ไอ้แว่นใต้กะไดโรงงานเป็นจุดรับของเบิกไม่ว่าจะเป็นของสดของแห้งมารับตรงนี้จะเขียนเบิกของก็เหมือนเดิมไม่ต่างกันจากแดนนู้น” ผมบอกกับมันให้เข้าใจ ไอ้แว่นก็พยักหน้ารับผมจึงหันมาพูดกับไอ้คมต่อ
“แล้วนี่มึงมานั่งทำอะไรวะรอรับของหรอ” มันส่ายหน้าแล้วมันก็แนะนำเพื่อนมันให้ผมได้รู้จัก “กูไม่ได้รับของหรอก กูให้ไอ้กอล์ฟเพื่อนกู ยืนรอรับให้อยู่ ตอนนี้กูเปิดร้านขายของอยู่ในแดน ร้านก็ไม่ได้ใหญ่มากนักหรอก ก็พอมีพอกินไปวันๆ มึงก็มาเอาไปกินได้นะ ก่อนขึ้นห้องเดินมาร้านกู ร้านกูอยู่หน้าตู้ล็อคเกอร์ กูให้มึงชุดนึง นมกล่องขนม 1 ห่อ มึงมาเอาด้วยทุกวันนะ และถ้ามึงขาดเหลืออะไร มาหากูเข้าใจไหม ต้องมานะอย่าเกรงใจกูแล้วตอนนี้ที่บ้านมึง รู้หรือยังว่ามึงย้ายมาแดนนี้ “
มันได้ถามผมว่ามีใครมาเยี่ยมรึป่าว “อย่าว่าแต่รู้ว่ากูย้ายแดนเลยนี่กูเกมมาจะ 5 เดือนแล้ว ที่บ้านยังไม่มาเยี่ยมกูเลยสักครั้ง” ผมได้บอกกับไอ้คม ไอ้คมมีทีท่า และหน้าตาแปลกใจอย่างมาก เพราะมันรู้ดีว่าพ่อผมไม่มีทางทิ้งผมแน่นอน มันจึงพูดดักคอผมว่า “มึงไปทำอะไรให้ป๋าเขาไม่พอใจหรือเปล่า หรือมึงได้ทะเลาะกับเขา กูรู้นิสัยป๋าเขาดี เขาไม่มีวันปล่อยให้มึงลำบากหรอก” เพราะการที่ผมกับมันได้รู้จักกันดีนั้น และมันก็รู้จักกับป๋าของผมด้วย มันจึงได้ถามแบบนั้น
ผมจึงเล่าให้มันฟังถึงเรื่องจริงและเหตุผลที่เขาไม่มาหาผมเพราะอะไร แต่ผมจะไม่ขอเล่าให้คุณผู้อ่านฟังนะครับ มันเป็นเหตุผลส่วนตัวครับ ผมไม่อยากพูดถึงคนคนนั้นให้ระคายเคืองใจ แล้วพอผมเล่าให้มันฟังเสร็จ “กูว่าแล้วมันต้องมีเรื่องอะไรสักอย่าง เพราะคนอย่างป๋า เขาไม่มีทางทิ้งมึงหรอก เขียนจดหมายไปหาเขาไปขอโทษเขามึงก็รู้นิสัยป๋ามึงดี ถ้ามึงไม่เขียนจดหมายไปเขาไม่มาแน่นอน” ผมพยักหน้ารับและผมจึงพูดกับไอ้แว่นต่อว่า “มึงได้ยินหมดแล้วนะไอ้แว่น ถ้ามึงเห็นกูเป็นพี่มึงจริง เรื่องที่กูเล่ามาให้ไอ้คมฟังมึงไม่ต้องไปเล่าให้ใครฟัง ถือว่ากูขอแล้วอย่าเอ่ยเรื่องนี้ให้กูได้ยินหรือถามอะไรกูเข้าใจไหม” ไอ้แว่นตกปากรับคำผมเป็นมั่นเป็นเหมาะ “ครับพี่ใหญ่ผมจะทำตามที่พี่บอกครับ ”
แล้วคนชื่อกอล์ฟก็ยกขนมมา 3 กระบะ (1กระบะมีขนมอยู่50ห่อ) เป็นขนมห่อละ 6 บาททั้งหมด ก็จะมีพวกขนมปังไส้มายองเนส อันนี้เป็นของที่ฮิตติดช๊าตภายในแดน ถ้าร้านไหนมีขาย ผมรับรองได้ไม่เกินเย็นนี้ก่อนขึ้นห้อง มีเท่าไหร่ก็หมด และนี่ก็คือสาเหตุหลัก อีกหนึ่งสาเหตุที่บรรดาร้านค้าต่างๆ ต้องทำการผูกขาด การสั่งของมาขาย กับนักโทษที่ทำงานอยู่ในร้านค้าสงเคราะห์ ไม่ว่าจะเป็นกับข้าวเบิกหรือว่าเป็นของแห้ง และในการผูกขาด มันไม่ได้ผูกขาดกันฟรีๆหรอกครับ มันต้องมีการเสียยอด ให้กับพวกที่ทำงานในร้านค้าสงเคราะห์ผู้ต้องขังคือพวกที่มาส่งของในแดนนี้นั่นก็คือ1กระบะต่อขนม2ห่อ (50ห่อก็จะเหลือ48ห่อ) แต่ถ้าเป็นขนมปังมายองเนสก็จะเหลือแค่ 47 ห่อต่อ 1 กระบะ
ซึ่งพวกที่เปิดร้านขายของก็ต้องเอาเพราะว่ายังไงก็ได้กำไรอยู่ดี แล้วมันก็จึงเป็นสาเหตุที่ทำไมคนที่จดเบิกของ โดยใช้เงินของตัวเองในการซื้อถึงไม่เคยได้ขนมอะไรมากินที่ดีๆเลย และสิ่งนี้ก็คือปัญหาอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นในคุกผมเคยบอกแล้วว่าคุณมีเงินอย่างเดียว หรือ คุณจะอยู่คนเดียวในคุก คุณทำไม่ได้หรอกครับ ถึงว่าคุณจะอยู่ได้เพราะเงินที่คุณมี แต่ความสบายในคุกทุกๆที่มันต้องมีพวกพ้องด้วยครับ คุณถึงจะอยู่ได้
“เอาใหญ่กินเลย ถือว่ากูเลี้ยงมึง ต้อนรับการกลับมานี่ไอ้กอล์ฟ กูรู้จักมาตั้งนานแล้วนิสัยดีตอนอยู่ข้างใน ข้างนอกเหลี่ยมนี่ยังบวบเลย กอล์ฟไปเอาน้ำเป๊ปซี่มา 2 ขวด ขอเย็นๆเลยนะ ” ไอ้คมแนะนำคนชื่อกอล์ฟให้ผมรู้จัก เราสองคนหันมาพยักหน้าให้กัน เป็นการรับรู้ซึ่งกันและกัน ไอ้กอล์ฟก็ลุกขึ้นเดินไปหยิบน้ำเป๊ปซี่มาให้ 2 ขวด ส่วนไอ้คมมันได้หยิบกระบะขนมมายองเนส เทกองตรงหน้าผมเกือบ 20 ห่อได้ ผมตกใจในการกระทำของมัน
“มึงบ้าป่ะเนี่ยของซื้อของขายเยอะไปแล้วกู 2 คนคนละห่อก็พอแล้วเพื่อนมันเกินไป ” ผมก็เลยพูดออกไปแบบนั้นก็มันเยอะจริงๆครับ ใครจะไปกินหมด “เออน่าแดกๆเขาไปเหอะ สำหรับมึง กูคงไม่ต้องพูดเยอะมึงก็รู้ มึงยังไงกับกู กูไม่เคยลืมหรอก ของแค่นี้กูไม่เจ็บหรอก ใหญ่ ” เจอคำพูดคำนี้ของมันเข้าไป ผมก็คงขัดอะไรไม่ได้ก็เลยต้องนั่งกินไปด้วยคุยไปด้วย ไปๆมาๆผมกับไอ้แว่นตัดขนมปังมายองเนสรวมกันแล้ว 15 ห่อได้ ทั้งไอ้กอล์ฟและไอ้คมก็นั่งกินอยู่ด้วยจึงทำให้ขนมที่เทกองเอาไว้หมดเกลี้ยงก่อนที่ผมจะขอตัวไปบริเวณอื่นต่อ เพื่อให้ไอ้แว่นได้คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและบรรยากาศภายในแดน “ไอ้คมเดี๋ยวกูไปที่อื่นต่อก่อนแล้วเดี๋ยวเย็นนี้ก่อนขึ้นห้องกูไปหามึงที่ร้านแล้วกัน ” ไอ้คมพยักหน้ารับก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายกันไป
“พี่คมคนนี้คงสนิทกับพี่ใหญ่มากเลยนะครับ ผมว่าเขาดูจะเกรงใจพี่ใหญ่มากเลย พี่กับเขารู้จักกันมานานหรือยังครับ ” ไอ้แว่นคุยกับผมในขณะที่ผมพามันเดินไปที่ใต้กระไดเรือนนอน ซึ่งเป็นที่สิงสถิตของบรรดา เด็กในบ้าน อ.เมือง ซึ่งจะมีด้วยกัน 3 บ้านใหญ่ๆ มีบ้านไอ้บอยดำ บ้านเด็กตลาดสมจิตร ซึ่งแยกบ้านย่อยมาอีก 1 บ้านรวมเป็น 3 บ้านใหญ่ๆด้วยกัน โดยมีไอ้เบนซ์วัดกล้วยเป็นพ่อบ้านใหญ่
“เออ..กูกับไอ้คม สนิทกันมาก สนิทกันมานานแล้ว 10 กว่าปีเข้าไปแล้ว ” ผมได้บอกกับไอ้แว่นถึงความสนิทสนมของผมกับไอ้คมไปแค่นั้น พอส่วนเรื่องสำคัญที่ผมสนิทกับมันแบบไหน ผมไม่ได้บอกให้ไอ้แว่นฟังครับ และเราสองคนก็เดินมาถึงบ้านใต้กระได
“ไอ้ใหญ่..กว่าจะย้ายมาได้นะมึง มานี่เลยมาแดกน้ำเย็นๆชื่นใจก่อน แล้วก็แทงบอลให้กูด้วย ” เสียงเรียกชื่อผมทีดัง กับบุรุษตัวใหญ่ผิวดำทะมึน กำลังนั่งจดโพยบอล เพื่อให้เด็กเดินทั้งหลายในสังกัดของมัน เอาโพยไปให้เหล่านักโทษแทง นั่นก็คือไอ้เบนซ์วัดกล้วยนั่นเอง
“คิดถึงมึงเหมือนกันว่ะไอ้เบนซ์ แล้วเป็นไงบ้างวะกิจการ อู่ฟู่หรือเปล่า ” ผมยิ้มให้กับมันก่อนที่กระโดดขึ้นไปนั่งข้างๆมัน ไอ้เบนซ์วัดกล้วยนั้นผมจะพูดยังไงดีล่ะ เอาง่ายๆในแดนนี้ผมคิดว่ามันเป็นคนที่มีคนเกรงใจมากที่สุดพูดในภาษาคุกคือมันเป็นผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในแดนนี้ก็ว่าได้ เพราะว่าไม่ว่าบ้านต่างอำเภอมีปัญหา หรือ มีเรื่องอะไร จะต้องมาพูดมาคุยไอ้เบนซ์ก่อนเสมอ ก่อนที่จะมีเรื่องถึงต้องปะทะกันและไอ้เบนซ์จะเป็นคนที่ไปไกล่เกลี่ยตัดสินใจให้กับบ้านอาริทั้ง 2 บ้าน
แต่ไม่ว่าไอ้เบนซ์ถึงมันจะดูเป็นขาใหญ่ หรือ เป็นผู้มีอิทธิพลในแดนนี้ขนาดไหน แต่คุณผู้อ่านเชื่อไหมครับว่า มันไม่เคยมีฟอร์มกับเพื่อนฝูงเลยจริงๆต่างจากบรรดาขาใหญ่ที่อื่นๆ ที่คิดว่ากูเป็นลูกพี่ กูต้องยิ่งใหญ่ ต้องมีฟอร์อมกับคนอื่น กูต้องข่มคนอื่น คนอื่นต้องอยู่ใต้ตีนกู แต่สำหรับไอ้เบนซ์ มันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ เห็นไหมครับคุณผู้อ่าน เรื่องราวในแดนนี้สำหรับตัวผม มันมีให้คุยมีให้เล่าอีกเยอะ เลยครับเอาไว้พบกันใหม่ตอนหน้านะครับ สวัสดีครับ.. (โปรดติดตามตอนต่อไป) “หมีขาว ขั้ว โลกเหนือ ” #คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่35
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun