คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่ 64
บทที่64 จุดเดือด ep.2
” ต่อให้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีขนาดไหน พรุ่งนี้มันก็จะกลายเป็นแค่ความทรงจำอยู่ดี “
** ช่วงนี้อยากบอกว่าผมเหนื่อยที่สุด หลังที่น้ำได้ลงจนหมดแล้ว มันก็ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้ดูต่างหน้ามากมาย เพื่อเราจะนึกคิดถึงมัน ขอบอกว่าอย่างเละ บอกเลยว่าพอผมเห็นสภาพบ้านของตัวเองแล้ว อยากจะบ้า..นี่บ้านเราหรือนี่ ขนาดก่อนที่น้ำจะท่วมเข้าบ้านเรา เราเองก็ได้ก่ออิฐก่อปูนเพื่อป้องกันไว้เป็นด่านแรก เผื่อว่ามันจะเอาอยู่ แต่พอเอาเข้าจริงแล้ว มันช่วยอะไรไม่ได้เลย ก่อตรงนั้นกับรั่วอยู่ตรงนี้ ตรงโน้น ตรงนั้น สรุปซึมรอบบ้านไปหมด ไอ้ที่ก่อกั้นเอาไว้ไม่ให้น้ำมันเข้าบ้าน แต่กับกลายเป็นบ่อน้ำในบ้านไปซะงั้น เห็นแล้วอยากจะเอาปลามาปล่อย เลี้ยงเเม่งให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
พอน้ำเริ่มลง น้ำในบ้านมันเสือกไม่ได้ลงตามไปด้วยนี่สิ ปัญหาเกิดละทีเนี้ย ทั้งน้ำที่เริ่มเน่า และที่พีค!!สุด ๆ เห็นจะเป็นพี่เหลือมตัวเขื่องของเรา อยู่ในตู้เสื้อผ้านอนขดตัวสบายอุรา ผมเปิดตู้ไปเห็นแทบช็อค ขออยู่ในซอกไม่บอกใครจริง ๆ ทีนี้ก็ต้องเดือดร้อนหน่วยกู้ภัย มาอันเชิญพี่เหลือมไปอยู่ในที่ชอบที่ชอบ เพราะถ้าไม่งั้น เห็นที่ไอ้เหมียวสองตัวลูกชายของผม มันคงได้ย้ายที่อยู่ไปอยู่ในท้องมันแน่ ไม่ตัวใดก็สองตัวเป็นนี้แหล่ะ” บางทีอะไรที่มันตื่นเต้น ๆ ก็มาหาเราโดยที่เราไม่ได้ตั้งตัวเหมือนกันนะครับ…**
จากที่ใครคิดว่าเป็นคนอารมณ์เย็นที่สุดในกลุ่มอย่างผม กลับเป็นผมซะเองที่แสดงตัวออกมาชัดเจนเลยว่า กูอยากมีเรื่องกับมึงมากที่สุด ผมกับมันต่างจ้องตากันราวกับว่ากำลังแข่งขันจ้องตากันอย่างไงอย่างงั้น ถ้าใครกระพริบตาก่อนก็แพ้ไป แต่ความจริงแล้วมันไม่ง่ายอย่างนั้นนะสิ ใช่เลยครับสถานการณ์เริ่มสุ่มเสี่ยงว่ามันจะมีเรื่องมากที่สุด!!
ผมมองหน้ามันด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แต่บอกเลยว่าอาการผมในใจตอนนี้ มันจวนจะถึงจุดเดือดเข้าไปทุกทีแล้ว และตัวมันเองก็คงจะไม่ต่างกัน ทำเป็นดึงหน้าใส่ผมขนาดนี้ บรรยากาศรอบข้างมันดูเงียบไปหมด เหมือนอย่างกับนักโทษทั้งแดนได้หายตัวไปยังไงยังงั้น และความเงียบแบบนี้แหละครับ ที่จะมีเรื่องกัน มันคือ สัญญาณบอกเหตุว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นและทำให้พวกไทยมุง อิสลามมุงทั้งหลาย จะต้องเริ่มมองหากันว่าเรื่องมันจะเกิดขึ้นตรงไหน และครั้งนี้ก็เช่นกันครับ มายืนดูกันเต็มไปหมด มากันมากจนผิดสังเกตุ และมันจึงทำให้สิ่งที่จะตามมาต่อจากนี้ก็คือเจ้าหน้าที่ 2 นายเดินถือไม้กระบอง ตรงมายังบ้านใต้บันได เพื่อจะมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
เพราะว่าถ้าเป็นเรื่องร้ายแรงจะได้ระงับเหตุได้ทัน นี่แหละครับคุณผู้อ่าน ผมจะบอกให้ฟังว่าการที่เราจะมีเรื่องกันในคุกนั้น ถ้าจะให้ได้เรื่องเลยคือใส่เลยไม่ต้องคุย ถ้ามัวมายืนคุยอยู่ไม่ได้ตีกันหรอกครับ เจ้าหน้าที่มาถึงก่อนและที่มาก่อนได้ก็เพราะพวกไทยมุงทั้งหลายนี่แหละครับ
ในคุกส่วนมากมันก็เลยไม่ค่อยจะได้ตีกันสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็ตึง ๆ ใส่กันเหมือนจะตีแต่ไม่ได้ตี เหมือนว่าจะรอ รอให้พี่มาก่อน แล้วทุกอย่างก็คลียร์ก็จบกันไป ซึ่งในเหตุการณ์ของผมในครั้งนี้มันก็ดูจะคล้ายกับที่ผมเล่า แต่มันแตกต่างกันตรงที่ว่าเรื่องไม่จบ เรื่องมันต้องได้เกิดแน่นอนแค่ไม่ใช่วันนี้เท่านั้นเอง…
“เฮ้ยพี่มา ” เสียงคนตะโกนขึ้นมา ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นใครที่บอก แต่เมื่อพวกเราเห็นดังนั้น บรรยากาศที่กำลังตึงเครียดและพร้อมจะระเบิดอยู่ทุกเวลา ก็ต้องพับเก็บไว้ก่อนเพราะว่าขณะนี้เจ้าหน้าที่ 2 นายได้มาถึงบ้านใต้บันไดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว “มายืนทำอะไรกันเยอะแยะตรงนี้เนี่ย ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องกันใช่หรือเปล่า หรือว่ามันยังไงว่ะไอ้เบนซ์ มึงบอกพี่มา” เจ้าหน้าที่หนุ่มคนหนึ่งซึ่งผมเองก็ไม่ได้รู้จักชื่อได้ถามกับไอ้เบนซ์ขึ้นมา
“เปล่าพี่ไม่ได้มีเรื่องอะไรกันหรอกครับ แหม” ใครกล้าจะมีเรื่องกันละครับพอดีว่าจะเตะบอลแข่งกันสักหน่อยครับ แต่เดิมพันมันสูงก็เลยจะมาคุยเรื่องกติกาและตัวผู้เล่นกันแป๊บนึงครับพี่ “ ดูเหมือนว่าคำแก้ตัวที่ไอ้เบนซ์พูดมามันจะได้ผลกับเจ้าหน้าที่ 2 คน
แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเราต้องมาแข่งบอลระหว่างบ้านกันจริง ๆ เพราะว่าพี่เจ้าหน้าที่ทั้งสองคนนั้นอยากจะดู และจะเป็นกรรการตัดสินให้อีกด้วย มันก็เลยทำให้พวกฝั่งมันจะต้องเล่นตามน้ำไปโดยที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัวใด ๆ ไอ้เบนซ์ได้ทีมันก็เลยประกาศโผงไปให้เจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ได้ยินว่านัดนี้น้ำ 10 ลัง บุหรี่ 2 แถวเป็นเดิมพันและก็ได้ตัดบทในทันที
“อีก 10นาที เจอกันในสนามนะไอ้บี”ไอ้เบนซ์ได้บอกกับไอ้บี ผมจะบอกไว้ก่อนเลยว่าไอ้บีมันไม่ใช่พ่อบ้านที่ผมจะมีเรื่องด้วย แต่ว่ารอบก่อนที่ผมติดนั้นไอ้บีมันก็คือพ่อบ้านของบ้านกลุ่มนี้ แล้วผมกับมันก็รู้จักกันดีประมาณนึงครับ แต่ไม่รู้ทำไมพอมารอบนี้มันถึงได้ให้ไอ้คนที่ผมจะมีเรื่องด้วยเป็นพ่อบ้านแทนมัน ส่วนตัวมันก็เป็นหัวเรือใหญ่ของบ้านฝั่งมันแทน เพราะว่าฝีไม้ลายมือของไอ้บีมันก็เก่งพอตัวและใจมันก็ถึงใช้ได้เลยครับ เพราะคำว่า “หัวเรือ” มันก็มีความหมายตรงตัวของมันเลยว่า คือ แนวหน้าพร้อมปะทะพร้อมชน!!
ยิ่งถ้า “หัวเรือ” ใจถึงพึ่งได้แล้วล่ะก็ พวกลิ่วล้อมันก็จะสู้และไม่ถอย ไม่ต่างจากหัวเรือแต่อย่างใด แต่ถ้าหัวเรือไม่แข็งจริง ใจไม่ถึงพึ่งไม่ได้แล้วล่ะก็ อะไรมันจะไปเหลือละครับ ลิ่วล้อที่ตามไปใจไม่สู้โดนเขาตีแตกกระเจิง เละเทะบ้านแตกสาแหรกขาดเป็นแน่ ดังนั้นผมก็เลยไม่ได้รู้จักกับพ่อบ้านใหม่ที่ผมจะมีเรื่องด้วยคนนี้เลย แล้วตัวมันเองก็คงไม่ได้รู้จักอะไรผมเลยเหมือนกัน ผมจะบอกชื่อมันแล้วกัน มันชื่อไอ้อาร์ตฉายา “ไอ้อาร์ตหน้าลาย” (แต่ลายแค่ครึ่งหน้านะครับ)
และต้องบอกไว้เลยว่า แข่งบอลในนัดนี้นั้นมันไม่ได้หมูอย่างที่คุณคิดเลยนะครับ เพราะว่าห้องของไอ้อาร์ตนั้นเวลามีการแข่งบอลห้องประจำปี ห้องของพวกมันก็จะติด 1 ใน 3 ตลอด ส่วนห้อง 2/5 ของผมเมื่อปี 56 ที่ผมติดอยู่ก็ได้เป็นแชมป์ ส่วนนอกนั้นผมไม่ได้ถาม “ไอ้ใหญ่มึงเล่นด้วยนะยังไหวอยู่หรือเปล่า ” ไอ้เบนซ์ได้หันมาถามกับผม เอาตามตรงเลยนะตั้งแต่ผมออกจากคุกรอบที่แล้ว ผมก็ไม่ได้มาเล่นบอลอีกเลย ขนาดเอาตีนเตะบอลสักครั้งยังไม่เคย พละกำลังผมอาจมีไม่มาก เพราะผมเองก็ไม่ได้ออกกำลังกายเลย แต่ถ้าเป็นเรื่องทักษะทางฟุตบอลแล้วล่ะก็ ผมก็เก่งพอตัวในระดับหนึ่งก็แล้วกันครับ
“มันก็พอได้อยู่แหละไอ้เบนซ์ แต่แรงกำลังกูนี่ล่ะสิจะยืนไหวครบชั่วโมงหรือเปล่า กลัวจะกลายเป็นหมาหอบแดดเอาล่ะสิ และทีมบ้านไอ้บี มันเก่งหรือเปล่าว่ะ ” ผมย้อนถามกลับไอ้เบนซ์ไป “เก่ง และได้เปรียบเราก็แล้วกัน ” นี่คือคำตอบสั้นๆจากไอ้เบนซ์
ผมก็พอจะรู้แล้วว่านัดนี้หนักเอาเรื่องแน่นอน และเมื่อมองดูตัวผู้เล่นของทีมเราแล้วก็ยิ่งทำให้ปวดหัวเป็น 2 เท่า เพราะว่าตัวหลักที่เคยเล่นด้วยกันตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ 4 คนรวมถึงผมด้วย ส่วนอีก 3 คนนั้นผมไม่เคยเห็นฝีไม้ลายมือเลย ว่าจะเล่นบอลเป็นขนาดไหน ผมมองกลับไปที่ทีมของมัน ในตอนที่ผมเคยแข่งด้วยมันก็อยู่กันครบทีม จะมีเพิ่มมาก็แต่ไอ้อาร์ตนี่แหละที่ไม่เคยเห็นมันเล่นบอลมาก่อน
แต่เมื่อเหตุการณ์มันมาถึงขั้นนี้แล้วใครจะไปยอมถอยได้ละครับ เพราะว่าศักดิ์ศรีนั้นมันค้ำคอกันอยู่จะเสียไม่ได้อยู่แล้วสำหรับเรื่องในคุก มันก็ต้องสู้ตายถวายชีวิตกันล่ะทีนี้ ซึ่งนัดนี้ไอ้แว่นก็ขอลงมาเล่นด้วยอีกคน แล้วมันก็ได้เป็นตัวจริงอีกด้วย
ซึ่งบอลในคุกนั้นจะเล่นด้วยกันแค่ 7คนรวมผู้รักษาประตูด้วย และก็อย่างที่เรารู้ ๆกันอยู่ ว่าบอล7คนนั้นเหนื่อยขนาดไหน แล้วตัวผมโดยปกติก็จะเล่นเป็นศูนย์หน้าประจำทีม แต่เพราะว่าด้วยศูนย์หน้าในบอล 7คนนั้นมันต้องคอยวิ่งส่าย หาพื้นที่ว่างเพื่อจบสกอร์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งผมมาพิจารณาตัวเองแล้วในตอนนี้ จึงรู้ว่ากำลังของผมนั้นไม่มากพอ ที่จะทำถึงขนาดนั้น ก็เลยให้ไอ้เบนซ์ไปอยู่หน้าแทนผม สลับตำแหน่งกัน
ถึงแม้ไอ้เบนซ์จะเป็นคนรูปร่างอ้วน แต่ต้องขอบอกเลยว่า ถึงมันจะอ้วนแต่มันก็พิ้วจริงๆนะครับ และที่สำคัญเลยก็ คือ ไอ้เบนซ์มันเล่นบอลทุกเย็นกับพวกเจ้าหน้าที่เป็นประจำอยู่แล้ว จึงทำให้กำลังวังชาของมันนั้นอยู่ตัว วิ่งได้ไม่มีหมด ส่วนทักษะการเล่นฟุตบอลของมัน ก็เล่นเก่งไม่ต่างอะไรกับผมอีกด้วย
ผมก็เลยต้องมายืนตำแหน่งของไอ้เบนซ์แทน ซึ่งก็เป็นกองกลางตัวจ่ายบอล คอยคุมเกมคุมจังหวะ เพราะผมคิดแล้วว่ามันคงจะไม่เหนื่อยเท่ากองหน้า และผมคงเอาอยู่ ในการที่เราได้คุมจังหวะของเกมนั้น เวลาเราเหนื่อยเราก็สามารถเปลี่ยนเกมให้ช้าลงได้ เพื่อพักเหนื่อยไปในตัวอีกด้วย ส่วนตัวไอ้แว่นก็ยืนหลังตามระเบียบ คอยเคลียร์บอลสาดขึ้นหน้าอย่างเดียวพอ
พอวางแผนกันเสร็จเรียบร้อย การแข่งขันก็ได้เริ่มขึ้น กองเชียร์ยืนเต็มสองฝั่งสนามบอล กิจกรรมต่าง ๆ ที่ทำกันอยู่ภายในแดนขณะนั้น ส่วนมากจะหยุดลงเพื่อมาดูการแข่งนัดนี้จำนวนมาก และเมื่อมีการแข่งขันเกิดขึ้นการพนันจึงเกิดขึ้นตามไปด้วย
การเดิมพัน พนันขันต่อ จับนอกกินใน ก็ได้เกิดขึ้น และก็ไม่พลาดที่บังดุลย์ เข้ามาเป็นฝ่ายถือหางอยู่ข้างทีมของผม พร้อมเปิดรับแทงข้างผมในราคาเสมอ เสมอ ซึ่งก็มีคนมาแทงกับบังดุลย์เป็นจำนวนมาก ทำให้นัดนี้การเดิมพันมันสูงจริงๆครับ มีคนหวังไว้กับพวกเราเยอะ และเราก็ไม่อยากทำให้คนพวกนั้นต้องมาผิดหวัง มันจึงทำให้ผมตั้งใจเล่นบอลแมทนี้เป็นพิเศษ จะพลาดก็ให้มันพลาดน้อยที่สุดและต้องสะกดคำว่าชนะอย่างเดียวเท่านั้น…
11.00 น.เวลาเริ่มเกมส์ ไม่ต้องบอกก็รู้กันว่าเวลาในตอนนี้แสงแดดเม่งแรงสุด ๆ ร้อนชิบหาย การแข่งขันดำเนินไปอย่างคู่คี่สูสีเป็นอย่างมาก ผลัดกันรุกผลัดกันรับ แล้วมันก็จริงทีมเราเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ผมต้องถอยมาเล่นเกมรับเป็นส่วนใหญ่ คอยตัดบอลคอยเก็บบอล ปากก็ร้องสั่งให้คนในทีมเล่นกันยังไง พอทีมเรามาได้จังหวะบุกซึ่งมันก็มีให้เห็นเพียงน้อยนิดใน 15 นาทีแรกของเกม
ผมกับไอ้เบนซ์ก็ยังจ่ายกันขาด ๆ ผมจ่ายให้ไอ้เบนซ์จังหวะก็ไม่ได้ ยิงก็ไม่เข้า ซึ่งนัดนี้นั้นถ้าเราอยากจะชนะเราต้องใช้จังหวะให้ไม่เปลือง ถ้ามีจังหวะมันต้องเป็นสกอร์ให้ได้ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเราจะหาทางชนะนั้นยากเหลือเกิน และด้วยแสงแดดที่แรงขนาดนี้ กำลังกายของผมมันก็เริ่มหมดลงไปเป็น2เท่าอีกด้วย
เสียงหอบหายใจดังออกมาจนได้ยินชัดเจนพร้อมทั้งเหงื่อที่ท่วมไปทั้งตัว แล้วในนาทีที่ 25 เป็นทีมของผมเองที่เสียประตูแรกจนได้ ผมโดนตัดบอลจากกลางสนาม และด้วยกำลังที่แทบจะไม่มีเหลือผมจึงล้มลง ไม่ได้วิ่งไล่ตามไปมันจึงทำให้เกมรับเสียสมดุลแล้วก็โดนลงโทษจนได้โดยไอ้บี ซึ่งฉายาของมันที่เรียกกันในวงการฟุตบอลว่า ไอ้บีตีนควายมันยิงไม่เคยแปล ยิงเต็มหลังเท้าตลอด ตรงประตูโกลแทบขาดจนผมคิดว่าผู้รักษาประตูทีมของผม มันพยายามพุ่งเซฟบอล หรือพยายามพุ่งหลบบอลกันแน่
แต่เราก็ไม่มีเวลามามัวเสียใจมากนัก ต้องรีบเอาคืน และก่อนหมดเวลาไม่ถึง 1 นาทีในครึ่งแรก ผมกับไอ้เบนซ์ได้ทำชิ่ง 1-2-1กัน ซึ่งคนที่ยิงปิดสกอร์ก็คือผมเอง ยิงเสียบสามเหลี่ยมเข้าไปไม่มีเหลือ และนั่นมันคือแรงเฮือกสุดท้ายของผมจริง ๆ ซึ่งลูกนี้ขอบอกเลยว่ามันสวยและ perfect จริงครับ ผมหลับตานึกถึงมันทีไรยังจำได้ติดตาอยู่เลย กับจังหวะที่ทุกอย่างมันได้ลงตัวไปหมด
ผมจ่ายไปให้ไอ้เบนซ์ ไอ้เบนซ์จ่ายคืนมาให้ผม ผมไขว่กลับให้ไอ้เบนซ์อีกที แล้ววิ่งฉีกไปหาพื้นที่ว่างซึ่งไอ้เบนซ์มันก็แทงบอลโดยไม่ต้องจับทะลุมาถึงผม โดยที่เหตุการณ์ทั้งหมดกองหลังของทีมมันทำอะไรไม่ได้เลย ผมหลุดเดี่ยวแบบนี้จะไปเหลืออะไรล่ะครับ ผมจัดส่งด้วยขวาเต็มข้อตรงมุดสามเหลี่ยม แบบที่ผู้รักษาประตูไม่ต้องขยับไปไหนทหมดปัญญาที่ผู้รักษาประตูจะแซฟได้
เสียงฮือฮาตอนที่ผมทำชิ่งกับไอ้เบนซ์ กับเสียงเฮที่ดังลั่นสนามตอนที่ผมยิงประตูเข้า มันช่างดังสะใจผมจริง ๆ ผมดีใจทำท่ากระโดดชกลม พร้อมกับตะโกนว่า“ยิงให้เด็กมันดู” ผมกับไอ้เบนซ์ได้เดินมาแท็กมือกัน ก่อนที่จบครึ่งแรกกันด้วยสกอร์ 1 ประตูต่อ1
พวกเรามีเวลาพักกัน 20 นาที บรรดากองเชียร์ในทีมต่างหิ้วกระติกที่ใส่น้ำเย็นเจี๊ยบ มาเสิร์ฟที่ข้างสนาม ผมซัดไปหลายแก้วเลยทีเดียว “เหนื่อยชิบหายแทบขาดใจเลยว่ะ” ผมพูดออกมาลอย ๆ เหมือนกับคุยอยู่กับตัวเอง
“พี่ใหญ่ครับผ้าเย็นครับ ” เด็กในบ้านไอ้เบนซ์ยื่นผ้าขนหนูที่แช่เย็นมาให้กับผม เพื่อผมจะได้ลูบหน้าลูบตา และมันก็ช่วยคลายร้อนได้มากจริง ๆ “ครึ่งหลังไหวป่ะวะใหญ่”ไอ้เบนซ์ถามผมด้วยความเป็นห่วง “มันก็ต้องไหวดิวะ”ผมบอกกลับไป
งั้นครึ่งหลังมึงไปยืนหน้านะ เดี๋ยวกูคุมกลางกับหลังเอง มึงจบสกอร์ดีกว่ากูเยอะ เพราะตอนนี้กำลังของทีมเราใกล้หมดกันแล้ว มันต้องเป็นมึงแล้วละประเภทโป้งเดี๋ยวจอดเท่านั้น ” สิ่งที่ไอ้เบนซ์พูดกับผมมามันก็ถูก ผมจึงไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่มันบอกได้ จึงพยักหน้าให้กับมัน
แต่แล้วใครจะเชื่อล่ะครับคุณผู้อ่าน ว่าเหตุการณ์ของครึ่งแรกกับครึ่งหลัง มันช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว เมื่อไอ้อาร์ตได้ลงมาเล่นแทนผู้เล่นคนหนึ่งในทีมของมัน จากเกมฟุตบอลธรรมดา เปลี่ยนเป็นหนังสงครามยังไงยังงั้น การเข้าบอลที่ถึงลูกถึงคน แตะทั้งบอลทั้งคนของไอ้อาร์ต มันดูจะเล่นหนักจริง ๆ และไอ้ความอดทนที่ผมมีให้กับมัน ใกล้จะหมดแล้ว คนอย่างไอ้อาร์ตมันต้องเจอคนอย่างผม ผมจึงคิดจะทำอะไรบางอย่าง คิดอยู่ในใจ” ติดตามอ่านครึ่งหลังในตอนหน้านะครับ (โปรดติดตามตอนต่อไป ) “หมีขาว ขั้วโลกเหนือ” # คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่ 64
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ QuotesAboutSmile และ Keywordsfun