Story

คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่28

คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่28

บท​ที่​ 28. การจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง

“ความกลัว​ คือ​ สิ่งที่เราสร้างขึ้นมาเอง จงเชื่อในสิ่งที่เราทำ และ​ ทำในสิ่งที่เราเชื่อ “

**ในที่สุดการเดินทาง บทใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้นถึงแม้ทางเส้นนี้มันจะยาวเกินกว่าที่เราคิดไว้ก็ตาม เราก็ไม่อาจหลีกหนีมันไปได้ ได้เวลาชดใช้กรรม แล้วไอ้ใหญ่​ 4ปี6เดือน คือบทลงโทษที่มึงต้องชดใช้ ต่อสังคมที่เน่าเฟะแห่งนี้ ต้องอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมที่มึงไม่มีสิทธ์มีเสียงใดๆ อยู่ในระเบียบของเขาและจงปฏิบัติตามเขาไร้ซึ่งอิสระภาพใดๆ จนกว่าจะถึงปลายทางของมึง**

ดูเวลามันร่วงเลยผ่าน 5โมงเย็น​ เข้าไปแล้ว​ ในที่สุด​รถบัสที่เอาไว้รับส่งนักโทษคันใหญ่ ก็ถอยมาจอดยังหน้าประตูห้องขัง​ “นักโทษเก่าเข้าแถวแยกกับคนใหม่ นักโทษเก่าออกมาก่อน ” ตำรวจศาลที่พวกเราเรียกแกว่า​ ป๋า​ เป็นคนพูด​ นักโทษต่างทยอยนับจำนวนออกมาทีละคนจนครบ ” ป๋าครับ..ขอบุหรี่สูบหน่อย ” มีเสียงจากนักโทษตะโกนขอมา ป๋าแกก็ใจดีควักบุหรี่ออกมาแจกนักโทษตรงหน้าต่างรถ “แบ่งๆกันนะโว๊ย.. อย่า​ทะเลาะกัน​ ” ป๋าแกพูดบอก และบุหรี่เกือบซองของแกก็หมดเกลี้ยงในทันที และไม่นานนัก​ คนใหม่ที่โดนใส่กุญแจมือเป็นคู่ๆทั้งหมด23คนและ​ผู้หญิงอีก2คน เป็น25คน​ ก็ขึ้นรถมาจนครบ 

เจ้าหน้าที่ทำการล็อคประตูรถและตรวจเช็คความเรียบร้อยรอบคันเสร็จก็ขึ้นมาประจำที่คนขับ และเริ่มขับรถออกจากศาลประจำจังหวัดทันที “ใหญ่.. บุหรี่​เพื่อน​” เพื่อนนักโทษที่เคยขอบุหรี่ผมที่ใต้ถุนศาล ได้ยื่นบุหรี่ให้ผมมา2มวน”ขอบใจเพื่อน” ผมกล่าวในความมีน้ำใจของคนหัวอกเดียวกัน” ตัดมากี่ปี “ ผมถาม” 3ปี9เดือน แดงเพื่อนจำหน่ายเดียว ” มันตอบผมและผมมารู้จักชื่อเพื่อนคนนี้ที่หลังว่าชื่อ เดช​ อยู่ต่างอำเภอ แต่เป็นคนจังหวัดเดียวกัน และบทสนทนาระหว่างผมกับเดช ก็จบเพียงแค่นี้ 

ผมและไอ้แว่นจุดบุหรี่สูบ และผมก็มองวิวทิวทัศน์สองข้างทางในตัวเมือง ถนนทุกเส้นที่รถคันนี้ขับผ่าน มันมีภาพจำเก่าๆของผมปรากฎขึ้นมา ผมผ่านเส้นทางเหล่านี้มาหมดแล้ว ทุกซอกซอยในตัวเมือง​ มันมีเรื่องราวปรากฏอยู่ในภาพจำต่างๆของผม​ และ​คงจะอีกนานผมจะได้เห็นภาพเหล่านี้อีก​ครั้ง.. 

รถก็ได้ขับข้ามสะพานข้ามแม่น้ำออกนอกตัวเมืองกลับเรือนจำต่อไป ในเวลา5โมงเย็นกว่าๆกับวันธรรมดาวันแรกของสัปดาห์ มันเป็นช่วงเลิกงานพอดีรถก็เลยขับเคลื่อนไปได้ช้าๆ มันไม่มีใครอยากกลับเรือนจำไวๆหรอกครับ ยิ่งช้าก็ยิ่งดี ช้าอีก5นาที10นาทีก็ได้ ทุกคนต่างชมวิวทิวทัศสองข้างทาง  ส่วนมากจะเป็นพวกนักศึกษาสาวๆเป็นส่วนใหญ่ มันคืออาหารตาชั้นเยี่ยมที่สุดสำหรับนักโทษชายอย่างเราๆนั่นเอง

แต่แล้วความสุขมันก็อยู่กับเราได้ไม่นานรถบรรทุกนักโทษก็เลี้ยวมาตามถนนที่คุ้นตา​ มันคือทางไปเรือนจำนั้นเอง และแล้วเสียงพูดคุยปนเสียงหัวเราะเมื่อครู่ก็เงียบลง มันเหมือนกับว่าสถานที่แห่งนี้ มันดูดกลืนความสุขของคนเราให้หมดลง​ และหลงเหลือไว้แต่ความทุกข์ภายในจิตใจของตนเอง มากน้อยแตกต่างกันไป ในที่สุดประตูเรือนจำสีเทาบานใหญ่ได้เลื่อนเปิดออก รับรถบรรทุกนักโทษของเรือนจำ​ ก่อนที่มันจะปิดลงตามเดิม และแล้วทุกอย่างก็วนมาเหมือนอย่างวันแรกที่ผมเข้าเรือนจำไม่มีผิด ซึ่งผมก็ได้เคยเราให้คุณผู้อ่านฟังไปแล้ว​ (ขอข้ามไปเลยนะครับ) 

ต่อมาผมกำลังก้มลงหยิบเสื้อผ้า ที่ถอดให้เด็กหน้าฝ่ายตรวจค้น​ มาสวมใส่เพื่อที่จะเดินกลับเข้าแดน ก็มีเสียงจากเด็กหน้าฝ่ายที่กินอยู่บ้านเดียวกันถามผมมาว่า “พี่ใหญ่ตัดมาเท่าไหรพี่ และมึงละแว่นเท่าไหร่ “__ “4ปี6_ 5ปี6” ผมกับไอ้แว่นแทบจะตอบพร้อมกัน​ ” ตัดมาเต็มเครื่องเลยนะพี่.. พี่ใหญ่​ข้าวเย็นของพี่กับเสื้อผ้าและขันอาบน้ำ ผมเตรียมให้แล้วอยู่ที่โต๊ะโรงเลี้ยงโต๊ะที่มีแป๊บซี่ตั้งไว้ให้นะพี่ ผมเตรียมไว้ให้ทั้ง2คน​ “ ไอ้​หนุ่มน้อย​แจกแจง​ให้​ฟัง​ “ขอบใจเอ็งมาก แล้วเอ็งล่ะกินหรือยัง ” ผมถามกลับไป ” ผมเรียบร้อยแล้วครับพี่เหลือแค่รออาบน้ำ​ สงสัยคงจะต้องขึ้นห้องพร้อมกัน​ แน่ๆ​ เวรพี่คนนี้ เขาเปิดให้ขึ้นทีเดียว พี่ใหญ่ไม่ต้องรีบหรอกครับเหลือเวลาเป็นครึ่งชั่วโมง​ ” มันบอกให้ผมฟัง​ 

ผมกับไอ้แว่นเดินหิ้วตรวนต่อแถว เพื่อที่จะเข้าแดนตามลำดับ หลังจากเช็คชื่อที่หน้าแดน เสร็จเรียบร้อย ต่อมาก็ถึงเวลา ที่ต้องเสียวรูก้นกันอีกแล้ว บังยูยืนประจำที่ข้างประตูแดน พร้อมกับถุงมือยางคู่ใจและสบู่ 1 ก้อน​ ที่ใช้ในการหล่อลื่นเวลาล้วงเข้าไปในรูก้น และครั้งนี้คือล้วงจริง​ เพราะมีเจ้าหน้าที่เวรยืนดูอยู่ จะมีก็แต่ผมกับไอ้แว่นที่รอด จากการล้วงในครั้งนี้ โดยทีบังยูใช้เหลี่ยมของตัวเอง  ยืนบังสายตา​ของเจ้าหน้าที่เวลามองมา 

หลังจากเสร็จจากการล้วงก้น​ เราก็มาต่อแถวรอถอดตรวนที่ห้องใส่ตรวน​ พอถอดเสร็จแล้ว​ ทีนี้ก็แล้วแต่นักโทษ​ ใครจะทำอะไรก็ตามใจ​ ใครจะกินข้าวก็ไปที่โรงเลี้ยง​ มีข้าวหม้อแกงหม้อตั้งไว้ให้ พร้อมกับถาดกินข้าว ส่วนช้อนหากันเอาเอง​ ส่วนใครจะอาบน้ำก็ไปที่อ่างอาบน้ำส่วนตัวผมกับไอ้แว่น​ เลือกที่จะกินข้าวกันก่อน ถึงแม้ว่าในตอนนั้นมันยังรู้สึกอิ่มอยู่ก็ตาม​ แต่ในเมื่อเด็กในบ้านมันเตรียมมาให้แล้ว เราก็ต้องกินเพื่อไม่ให้เสียน้ำใจกัน​ “เป๊ปซี่เป็นวุ้นนี่มันเย็นชื่นใจจริงๆนะพี่ใหญ่​ ” ไอ้แว่นได้พูดกับผมส่วนผมไม่ได้ตอบอะไรกับมัน ก้มหน้าก้มตา กินอย่างเดียว ตอนนี้หัวสมองผมไม่อยากจะรับรู้เรื่องราวใดๆ ในตอนนี้มีอย่างเดียวคือ​ อยากจะขึ้นห้องและล้มตัวลงนอนให้หลับไปเลยยันเช้าได้ยิ่งดี

แต่มัน ไม่ได้เป็นไปอย่างที่ผมคิดแค่ตอนเดินขึ้นห้อง ผมก็ต้องคอยตอบคำถามเรื่องโทษของผมว่าตัดมากี่ปี ตั้งแต่ห้อง 2/1 ถึงห้อง 2/5 ที่ตัวเองอยู่ เข้าไปในห้องแล้วก็ยังไม่วายต้องตอบคําถามเดิมๆซ้ำๆหลายรอบ จนผมเริ่มรู้สึกรำคาญ เลยโผล่งขึ้นมาด้วยความโมโห และหงุดหงิดไปว่า “ควย!! กูตัดมา 4 ปี 6 มีใครจะถามเหี้ย!! อะไรอีกไหม กูจะนอน​ และใครไม่พอใจกู​ สะกิดกูติดให้เด้งมาได้เลย​” เงียบกริบกันทั้งห้องไม่มีใครพูดสักคน  แล้วผมก็ปูที่นอนนอนโดยที่ไม่สนใจกฏที่หัวหน้าห้องตั้งไว้​ ว่าถ้ายังไม่ถึงเวลานอนห้ามนอน ในตอนนั้นผมไม่สนใจหรอกว่าพี่อั้มหัวหน้าห้องจะรู้สึกขุ่นเคืองผมยังไง​ เพราะเวลาที่ผมฟิวส์ขาดแล้ว ผมไม่สนใจหน้าอินทร์หน้าพรหมไหนทั้งนั้นล่ะครับ​ 

จะมารู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่ออารมณ์มันเย็นลงแล้ว​ และคงจะเข้าไปขอโทษเขาอีกทีในภายหลัง รวมทั้งพี่เล็กพี่ชายของผมอีกคน ก็มีแค่สองคนในห้องเท่านั้นนะครับที่ผมเกรงใจ ส่วนรองหัวหน้าห้องกับเสมียน​ ไม่เคยอยู่ในสายตาผมเลยสักนิด ผมจึงได้หลับไปยันเช้าโดยที่ผมไม่ได้ตื่นขึ้นมาเลยเป็นการนอนรวดเดียวครั้งแรก ตั้งแต่ผมเข้ามาอยู่ในนี้

แล้ววันเวลามันก็ได้ผ่านไป โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย​ มันวนเวียนซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น 1 อาทิตย์ผ่านไป 2 อาทิตย์ผ่านไป ทุกอย่างมันก็ยังวนเวียน ซ้ำๆเดิมๆ มันเหมือนตุ๊กตาไขลาน ที่ต้องหมุนอยู่กับเพลงซ้ำๆไปตลอดเวลา​ จนผ่านมา 3 อาทิตย์แล้ว หลังจากที่ผมได้ออกศาล มันก็ยังเหมือนเดิม ไม่มีใครมาเยี่ยมผมเหมือนเดิม​ นี่ก็ล่วงเลยมาเดือนที่ 4 แล้ว มันใจหายจริงๆนะครับ เพราะที่บ้านของผมไม่เคยปล่อยให้ผมต้องรอนานขนาดนี้เลย หรือว่าจะมีใครเป็นอะไรไปหรือเปล่า ผมไม่กล้าที่จะคิด แต่นี่ไม่มีข่าวคราวใดๆ​ ตอบกลับมาหาผมเลย​ จดหมายผมก็เขียนไปหลายฉบับแล้ว ก็ไม่เห็นมีตอบกลับมา หรือจะมาเยี่ยมผมเลย ยิ่งนานวันผมยิ่งร้อนรุ่มในใจ มันกลายเป็นความเป็นห่วง​ เป็นห่วงคนที่บ้านอย่างมาก อะไรที่สามารถติดต่อญาติข้างนอกได้  ผมได้ทำหมดทุกทางแล้ว มันไม่มีทางอื่นทางไหน​ ที่ผมทำได้อีกแล้ว เท่าที่ผมทำได้ในตอนนี้อย่างเดียวคือ​ รอ ผมเกลียดคำนี้จริงๆคำว่า​ รอ​ รออย่างไม่มีจุดหมาย​ ได้แค่รออย่างมีความหวัง​ หวังว่าจะมาหากันบ้าง 

ตอนนี้ร่างกายผมสูบผอมลงไปถนัดตา ไม่ใช่ผมกินไม่ได้นะครับ ผมกินได้หมดทุกอย่างเพียงแต่ว่ามันกินได้น้อยกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว ผมจำได้ว่าชั่งน้ำหนักครั้งสุดท้าย ที่พ.บ ในตอนนั้นน้ำหนักผม 82 กิโลกรัมแต่ว่าเมื่อวานนี้ ผมได้ออก​ พ.บ​ กับพี่เล็กมา ก็เลยลองชั่งน้ำหนักดู ตอนนี้น้ำหนักผม 75 กิโลกรัม ไม่ว่าตอนนี้ผมจะเดินไปทางไหน ไปนั่งคุยกับใครทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมนั้นผอมลงไปมากเป็นอะไรหรือเปล่า มีแต่คนเป็นห่วงผมและบังคับให้ผมกินเยอะๆ ยิ่งเป็นไอ้แว่นมันยิ่งเป็นห่วงผมใหญ่มันซื้อทั้งน้ำอัดลมทั้งขนม มาให้ผมกินทุกวัน ตอนพักกลางวัน ชวนผมคุยผมก็ถามคำตอบคำ ผมเริ่มพูดคุยกับคนอื่นน้อยลง จนกลายเป็นคนเงียบขรึมลงไปอย่างผิดหูผิดตา 

อาการที่ผมเป็นอยู่ตอนนี้ในคุกเขาเรียกกันว่า อาการตรอมใจและส่วนมากคนที่มีอาการแบบนี้ โรคภัยไข้เจ็บมันจะถามหาเอาได้ง่ายๆ ไอ้แว่นมันก็เลยเจ้ากี้เจ้าการหาอะไรให้ผมกินอยู่ตลอดเวลา “พี่รู้ไหมว่าตัวพี่เปลี่ยนไปมาก ไม่เหมือนคนเดิมตอนแรกที่เข้ามาเลย​ ไม่เหมือนคนเดิมคนที่ผมรู้จักเลยพี่เป็นอะไรพี่ใหญ่.. พี่บอกให้ผมสู้อย่าท้อ​ แต่ดูตัวพี่ตอนนี้สิ พี่เหมือนผีตายซากอยู่ไปวันๆพี่โทรมลงไปมากเลยนะครับ พี่รู้ตัวไหม? ผมเป็นห่วงพี่นะ​ ” 

ไอ้แว่นพูดกับผมตอนที่เรา2คนนั้งกินขนมด้วยกัน ผมมองหน้ามัน มองเข้าไปในแววตาของมัน สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นห่วงเป็นใยและความรักที่มันมีให้ผมอย่างกับว่าผมกับมันเป็นพี่น้องแท้ๆที่คลานตามกันมา ความรู้สึกที่มันส่งผ่านมาเป็นคำพูดนั้น ได้เป็นเหมือนกุนแจปลอดล็อคความรู้สึกด้านลบของผม ให้หายไปจากใจ ผมไม่ได้ตัวคนเดียวในนี้ ผมยังมีพี่ เพื่อนๆพวกพ้อง ที่รวมชะตาเดียวกันอยู่ มีน้องชายที่เป็นดังมิตรแท้อยู่ข้างกาย แล้วเราจะต้องการอะไรอีก 

เราต้องทำให้ที่บ้านเราเห็นว่าเราอยู่ได้​ สบายดี​ ในวันที่เขามาเยี่ยมเรา สภาพเราต้องไม่เป็นแบบนี้ เมื่อคิดได้แล้ว ผมจึงฉีกยิ้มให้กับมัน ไอ้แว่นเห็นรอยยิ้มของผมมันคงดูออกว่า ผมคนเดิมนั้นกลับมาแล้ว มันชวนผมกินและคุย มันเล่าเรื่องตลกให้ผมฟัง ผมถึงกับหัวเราะกับท่าทางประกอบในตอนที่มันเล่า ใช่แล้วครับ เสียงหัวเราะของผม มันได้กลับมาแล้วไม่มีความเศร้าหลงเหลือในใจผมแล้ว ” ไป.. ไอ้​แว่น​ไป​ตัดผม​กัน​ ” ใช่แล้วครับการตัดผมมันดีที่สุดเหมือนกับอาบน้ำล้างซวยอะไรประมานนั้น.. (โปรดติดตามตอนต่อไป) ” หมี​ขาว​ ขั้ว​ โลก​เหนือ​ ” 

คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่28 การจำแนกลักษณะผู้ต้องขัง

ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending

What's your reaction?

Excited
0
Happy
0
In Love
0
Not Sure
0
Silly
0

You may also like

Story

ประวัติวันสงกรานต์ เทศกาลประเพณีที่อยู่คู่คนไทยมาอย่างยาวนาน.

สงกรานต์เป็นเทศกาลปีใหม่ไทยแบบดั้งเดิมที่มีการเฉลิมฉลองทุกปีในช่วงกลางเดือนเมษายน ซึ่งชาวต่างชาติจะรู้จักกันในชื่อว่า Water Festival หรือ เทศกาลแห่งน้ำ เพราะในวันนี้ผู้คนจะนิยมนำน้ำมาสาดใส่กันเพื่อคลายร้อนอย่างสนุกสนาน
Story

เปิดประวัติที่มาของสงครามนกอีมู สงครามสุดแปลกที่โลกนี้ต้องจดจำ

สงครามนกอีมู หรือที่เรียกว่าสงครามนกอีมูครั้งใหญ่ เป็นปฏิบัติการทางทหารที่ดำเนินการในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียในปี 2475 ปฏิบัติการนี้ออกแบบมาเพื่อควบคุมประชากรของนกอีมู ซึ่งก็ได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อพืชผลในภูมิภาคออสเตรเลีย
Story

เปิดประวัติที่มาของวัน “April Fool’s Day” หรือ “วันโกหก” วันสุดแสบแสนตลกของผู้คนทั่วโลก!

"วันโกหก" นักประวัติศาสตร์ได้เชื่อว่าวันนี้ได้รับอิทธิพลมาจากเทศกาลฮิลาเรียของโรมันที่จัดขึ้นในวันที่ 25 มีนาคม เพราะเทศกาลนี้ผู้คนจำนวนมากจะออกมาแต่งกายตลก ๆ พร้อมกับมีการละเล่นที่เรียกเสียงหัวเราะของผู้คน ซึ่งก็คล้ายคลึงกับวันโกหกเป็นอย่างมาก และในยุคต่อมาก็ได้มีบันทึกไว้ในหนังสือ

Comments are closed.

More in:Story

Story

เปิดประวัตินิทานของ “อีสป” ต้นตำรับนิทานคติสอนใจผู้เป็นตำนานของโลกแห่งนิทาน

นิทานของอีสปเป็นนิทานที่ถูกแต่งขึ้นโดยทาสชาวกรีกที่มีขื่อว่า อีสป (Aesop) ที่นักวิชาการต่างลงความเห็นว่าเขานั้นน่าจะเกิดอยู่ในช่วง 620 ปีก่อนคริสตกาล และเป็นทาสโดยกำเนิดตามกฏหมายของชาวกรีก
Breaking News

ซีเซียม-137 คืออะไร? อันตรายมากแค่ไหน?

เมื่อไม่นานมานี้ได้มีข่าวที่ถูกพูดถึงมากมาย เกี่ยวกับประเด็นท่อเก็บสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 ที่ได้หายไปจากโรงไฟฟ้าพลังงานไอน้ำ และล่าสุดเมื่อวันที่ 20 มี.ค. 2566 ก็ได้มีรายงานว่าพบวัตถุดังกล่าวแล้ว แต่ที่ทำให้ทุกคนตกใจเป็นอย่างมากจากข่าวนี้
Story

คุก (อิสระภาพ ความหวัง กำลังใจ) บทที่ 84

ผมและไอ้แว่นได้ลงมาตั้งแถวรอเยี่ยมญาติอยู่หน้าองค์พระประจำแดน ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวสำหรับพวกที่มีชื่อเยี่ยมญาติในแต่ละรอบ ผมสังเกตเห็นไอ้แว่นมันดูลุกลี้ลุกลนเหมือนอยากจะถามอะไรผม แต่มันก็ยังไม่กล้าเอ่ยปากถามสักที