มหาศึกคนชนเทพ โอดิน (odin)
โอดิน เป็นหนึ่งในตัวแทนฝั่งเทพที่เข้าร่วมสู้ศึกครั้งนี้ เขาเป็นเทพที่มีตัวตนอยู่ในตำนานเทพของชาวนอร์ส(ไวกิ้ง) เป็นเทพที่ถูกขนานนามว่าเป็นเทพสูงสุดของชาวนอร์ส เป็นเทพที่เหนือกว่าเทพทั้งปวง โอดินมีพลังอำนาจเป็นอย่างมากมีพลังที่แทบจะไม่แตกต่างจากเทพซูสสักเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ต่างมีเพียงหนึ่งคือโอดินมีพลังที่จะสามารถมองเห็นอนาคตหรือการทำนายร่วงหน้าได้ ด้วยพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเขานี้ จึงทำให้ซูสจะไม่พลาดที่จะไม่ ให้เขาเข้าร่วมได้อย่างไร จึงได้มาเชิญโอดินด้วยตัวของเทพซูสเอง และแน่นอนโอดินก็ไม่ปฎิเสธ เขาพร้อมที่จะทำให้มนุษย์รู้จักฐานะตัวเอง และยำเกรงต่อทวยเทพอีกครั้ง!!
ประวัติ ตามตำนาน เทพของชาวนอร์ส(สแกนดิเนเวีย)
โอดิน มหาเทพผู้อยู่เหนือเทพทั้งหลายของชาวนอร์ส เป็นผู้ปกครองบรรดาเทพทั้งหมดแห่งแอสการ์ด ถูกนับถือให้เป็นเทพแห่งนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ที่พร้อมจะนำพาชัยชนะมาให้สู่ผู้ที่ศรัทธาเสมอ นอกจากจะเป็นเทพนักรบผู้ยิ่งใหญ่แล้ว โอดินยังถูกนับถือให้เป็นเทพแห่งปัญญา การสงคราม และความตายอีกด้วย
เทพโอดินเป็นบุตรของเทพบอร์ เทพเริ่มแรกของโลก ทรงปกครองแอสการ์ด จนกระทั่งมาถึงยุคเปลี่ยนผ่าน เมื่อเทพบอร์กำลังจะจากไป ท่านได้ส่งมอบหน้าที่นี่ ให้แก่โอดิน เพราะท่านสัมผัสได้ว่า โอดินจะเป็นผู้นำที่ดีและมีความสามารถในการปกครองแอสการ์ดให้ดำรงอยู่สืบไปได้
หลังจากนั้น เทพโอดินก็ถูกแต่งตั้งขึ้น ตามเจตนารมณ์ของเทพบอร์ ให้พระองค์ขึ้นเป็นผู้ปกครองสูงสุดแห่งแอสการ์ด ตามตำนานและความเชื่อของชาวนอร์ส มักจะจินตนาการว่า เทพโอดินเป็นชายชราร่างสูงใหญ่ ดูน่าเกรงขาม ส่วมใส่หมวกปีกปกปิดซ่อนใบหน้าไว้ในเงามืด นั่งอยู่บนบัลลังก์ใหญ่นามว่า ฮลิดเสกียบ (Hlidskialf) บนบัลลังก์นี่เองที่เทพโอดินใช้มันในการนั่งมองดูความเป็นไปต่างๆ ในโลกทั้งเก้า นอกจากนี่แล้ว เทพโอดินยังมีน้องที่เกิดมาจากเทพบอร์ ด้วยกัน 2 พระองค์ คือ เทพวีและเทพวิลี
ในช่วงสมัยที่เทพโอดินปกครอง ร่วมกันกับพี่น้องทั้งสอง ได้เกิดเหตุการณ์ การบุกโจมตีและพยายามที่จะยึดของโลกจากยักษ์น้ำแข็งนามว่า ยเมียร์ เทพโอดินและพี่น้องทั้งสอง ต่างได้ร่วมแรงกันต่อสู้กับกองทัพยักษ์ และได้สังหารยักษ์ยเมียร์ได้ในที่สุด เมื่อสังหารยักษ์ยเมียร์ลงแล้ว โอดินได้ใช้พลังมนตราของตัวเอง ในการแยกร่างยักษ์ยเมียร์ออกมาเป็นหลายส่วน และนำเอาชิ้นส่วนที่กระจัดกระจาย นำมารวมกัน ก่อกำเนิดขึ้นเป็นดินแดนใหม่ โดยเทพโอดินได้ตั้งชื่อให้กับดินแดนนี่ว่า มิดการ์ด หรือก็คือ โลกของเราในปัจจุบันนั่นเอง
ในระหว่างการสร้างโลกนั้น เทพโอดินได้ตระหนักว่า ด้วยปัญญาที่เขามีอยู่อาจจะไม่เพียงพอในการวางรากฐาน รวมถึงการจัดการดูแลโลกใหม่มิดการ์ดนี่ได้ดีเท่าที่ควร เพราะเทพโอดินมีความเชื่อที่ว่า การเป็นผู้นำ หรือ ผู้ปกครองที่ดี นอกจากการเป็นนักรบแล้ว จะต้องมีปัญญาที่จะคิดวิเคราะห์ และสามารถล่วงรู้ในสิ่งที่ไม่มีใครรู้ อีกทั้งต้องจัดการกับปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างสำเร็จและไวมากกว่าทั่วไปถึง 2 เท่า อันจะถือว่าเป็นผู้นำที่ดีในอุดมคติของท่าน
ท่านจึงใช้เวลาในการค้นหาเพื่อให้ได้มาซึ่งพลังแห่งปัญญานี้ จนกระทั่งท่านได้พบเข้ากับน้ำพุแห่งปัญญา ที่ถูกปกปักรักษาด้วยอารักตนหนึ่ง นามว่า ไมเมียร์ เทพโอดินได้พยายามเกลี้ยกล่อมไมเมียร์อยู่นาน ว่าให้มอบน้ำแห่งปัญญาให้พระองค์ดื่ม อีกทั้งยังอ้างถึงฐานะของตนว่าเป็นเทพสูงสุดที่ปกครองเทพต่างๆแห่งแอสการ์ด เพราะฉะนั้นแล้ว พระองค์จึงน่าจะมีสิทธิ์ได้ดื่มน้ำแห่งปัญญานี่ แต่ไมเมียร์กับปฎิเสธ พร้อมทั้งอ้างถึงเหตุผลต่างๆ มากมาย อีกทั้งยังบอกว่า ตัวเขาจะให้ผู้ที่ต้องการดื่มน้ำนี่ได้นั้น จะต้องเป็นคนที่มีเหตุผลที่จำเป็น มากล่าวให้เขาฟังเสียก่อน จึงจะได้รับสิทธินั่น ซึ่งเทพโอดินก็ได้พยายามกล่าวอ้างถึงเหตุผลมากมาย ต่างยกมาให้ไมเมียร์ได้ฟัง แต่ไม่ว่ายังไง ไมเมียร์ก็ยังบอกว่าเหตุผลเหล่านั้นไม่สำคัญเสมอ
แต่ถึงอย่างนั้น เทพโอดินก็ไม่เคยย่อท้อกับดึงดันที่จะดื่มน้ำแห่งปัญญาให้ได้ จนไมเมียร์เริ่มที่จะใจอ่อน แต่ด้วยคติและกฎที่ตนตั้งไว้ ว่าจะมอบน้ำให้แก่ผู้ที่มีเหตุผลเท่านั้น ไมเมียร์จึงต้องคิดข้อแลกเปลี่ยนขึ้นมา เพื่อหวังว่า เทพโอดินจะยอมตัดใจและจากไป ข้อแลกเปลี่ยนนั่นคือ ไมเมียร์ต้องการดวงตาข้างหนึ่งของเทพโอดิน เพื่อแลกกับน้ำแห่งปัญญา ซึ่งข้อแลกเปลี่ยนนี่ ดูยังไงก็ไม่มีใครบ้าพอที่ตอบตกลงได้แน่ แต่กลับกัน เทพโอดินตอบตกลงในข้อแลกเปลี่ยนไมเมียร์เสนอมาให้นี่อย่างไม่มีการลังเล ทั้งที่ตัวท่านก็มีพลังมากพอที่จะสังหารไมเมียร์ และนำน้ำมาดื่มได้ตามแต่ที่ตัวท่านต้องการ มากเท่าไหร่ก็ได้ แต่เทพโอดินก็ไม่ยอมทำ เพราะท่านถือว่าเป็นการกระทำที่ไร้เกียรติขัดต่อเจตนารมณ์ของท่านเป็นอย่างมาก ในส่วนลึกเทพโอดินมีความเชื่อว่า ทุกสิ่งที่ต้องการได้มา มักจะต้องมีการแลกเปลี่ยนเสมอ ไม่สิ่งใดก็สิ่งหนึ่ง
หลังจากตกลงแล้ว เทพโอดินก็ได้ควักลูกตาของตนออกมา และนำมาแลกเปลี่ยนกับไมเมียร์ เมื่อได้ลูกตาข้างหนึ่งตามข้อตกลงแล้ว ไมเมียร์ก็ได้นำจอกมาตักน้ำแห่งปัญญา นำมาให้โอดินดื่ม เมื่อเทพโอดินดื่มน้ำจากจอกจนหมด ผลันปัญญาของท่านก็เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างมาก ในเวลานี่ไม่ว่า ข้างหน้าจะเกิดปัญหา หรือ คำถามอะไร ท่านก็สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ด้วยปัญญาของท่านได้อย่างง่ายดาย เมื่อได้ปัญญามาแล้วตามที่ท่านต้องการ ท่านก็ได้ใช้พลังนี้ในการสร้างดินแดนโลกมิดการ์ดต่อไป
เมื่อสร้างโลกมิดการ์ดเสร็จ โอดินจึงได้ทรงนำพาดวงวิญญาณ รวมถึงสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้มาดำรงอยู่ในดินแดนมิดการ์ดแห่งนี่ ผู้คนรุ่นแรกๆจึงถือกำเนิดขึ้น นับแต่นั้นมาเทพโอดินจึงมักจะปรากฎตัวมาในรูปร่างชายชราที่คงแก่เรียน มาเพื่อคอยชี้แนะและสอนสั่งให้เหล่ามนุษย์ในมิดการ์ดรู้จักการสร้างรวมทั้ง การล่าสัตว์ เพื่อที่จะให้พวกเขาได้ดำรงอยู่สืบไป รวมถึงในบางครั้ง เทพโอดินมักจะปรากฎตัวมาในรูปแบบนักรบพร้อมกับหมาป่าคู่ใจ เพื่อมาต่อสู้ปกป้องผู้คนของพระองค์ จากบรรดาเหล่าลูกของยักษ์น้ำแข็งยเมียร์ที่ยังคงหลงหลืออยู่ ผู้คนในสมัยนั้น จึงนับถือโอดินให้ป็นเทพแห่งนักรบผู้คอยปกป้อง และเทพแห่งปัญญาผู้คอยมอบความรู้ ให้แก่พวกเขาตลอดมา
หลังจากนั้นผู้คนต่างๆ ก็มักกล่าวคำสรรเสริญถึงเทพโอดิน รวมทั้งยกย่องให้เทพโอดินเป็นเทพสูงสุดของพวกเขา ตามภาพวาด และบทประพันธ์ รวมถึงกวี ต่างบอกกล่าวว่า เทพโอดินคือเทพนักรบผู้ยิ่งใหญ่ ท่านมักจะปรากฎตัวมาด้วยร่างกายของชายชราที่มีร่างกายสูงใหญ่ ส่วมใส่ชุดเกราะนักรบขนาดใหญ่ ในมือถือหอกวิเศษที่มีชื่อว่า “กุนเนีย(Gungnir)” ที่กล่าวกันว่ามีอิทธิฤทธิ์ และความวิเศษเป็นอย่างมาก โดยที่เทพโอดินจะใช้หอกอันนี่ ในการเปิดสงครามด้วยการเขวี้ยงหอกออกไปปักที่กลางสนามรบ เป็นเสมือนกับการประกาศศักดาให้แก่ตน นอกจากหอกวิเศษแล้ว เทพโอดินยังมีแหวนดรอพเนอร์ (Draupnir) แต่บางแห่งก็ว่ามันเป็นกำไลแขนที่สามารถขยายตัวได้ตามแต่ที่เทพโอดินต้องการ และมีพลังงานอยู่ในตัวของมัน ที่จะคอยหมุนเวียนอยู่รอบๆสิ่งนี้ตลอดไป
นอกจากนี้ เทพโอดินยังมีสัตว์คู่ใจเป็นอีกา 2 ตัวที่วิเศษ ที่มีชื่อว่า ฮิวกิน(Hugin)ที่แปลว่าความคิด และมิวนิน(Munin)ที่แปลว่าความจำ เกาะบนไหล่ซ้ายขวา มีหน้าที่คอยนำข่าวสารใหม่ๆที่เกิดขึ้นบนโลกนำมาบอกกล่าวให้เทพโอดินได้รับรู้ และยังมีหมาป่าคู่ใจอีก 2 ที่มีนามว่า เกอรี่ (Geri) และเฟรกี (Freki) ที่จะนั่งอยู่ข้างพระองค์ และมักจะไปไหนมาไหนกับพระองค์เสมอ ไม่เว้นแม้แต่ในสนามรบ หมาป่าทั้งสองก็ถือว่าเป็นกำลังรบสำคัญของเทพโอดิน ที่จะคอยทำตามคำสั่งที่เทพโอดินสั่งเสมอ
ถึงแม้ว่าเทพโอดินจะมีพลังแห่งปัญญาที่ได้มาจากน้ำวิเศษ แต่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ ในความคิดของพระองค์ต้องการความรู้ที่มากขึ้นกว่านี้ จนในที่สุดพระองค์ก็ทรงนึกออกด้วยพลังแห่งปัญญา มีอยู่วิธีหนึ่ง คือการบูชายัญตัวเองต่อพฤษาแห่งโลก ด้วยการแควนตนเองไว้บนต้นอิดราซิล เป็นเวลากว่า 9 วัน 9 คืน เพื่อที่จะได้เข้าสู่ญาณอันสูงสุด
ใน 9 วันนี้ พระองค์ไม่ทรงดื่มน้ำ หรือ รับประทานอาหาร แถมบางส่วนยังกล่าวว่า พระองค์นอกจากอดอาหารแล้ว ยังใช้หอกทิ่มแทงตัวเองด้วยอย่างเสมอ ในระหว่างที่ตนกำลังทรมารอยู่นั้น สติของพระองค์ได้เปิดญาณวิเศษออก พลังและความรู้แห่งจักรวาลมากมาย ต่างหลั่งไหลเข้ามาสู่พระองค์ แบบไม่มีที่สิ้นสุด ในเวลานั้นพระองค์รู้สึกดีใจและปลื้มปิติถึงที่สุด จนเข้าสู่ช่วงวันสุดท้าย พระองค์ก็ได้สิ้นใจไปในวันนั้น และทรงฟื้นขึ้นมาอีกครั้งในรุ่งเช้า ด้วยร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์ ไร้ซึ่งบาดแผลใดๆ
บัดนี้เทพโอดินก็ได้รับพลังญาณระดับสูงมาไว้ในครอบครองแล้ว ท่านจึงได้ก้าวลงไปในแม่น้ำเพื่อชำระล้างตัว ในระหว่างที่ก้าวลงแม่น้ำ ก็เกิดเป็นอักษรสีทองอร่ามขึ้นมา มีจำนวน 24 อักษร เทพโอดินเรียกอักษรเหล่านั้นว่า อักษร รูนส์(Runes) ซึ่งในภาษาของชาวนอร์สแปลว่า “ความลับ” ในเวลาต่อมา เทพโอดินก็ได้ทรงสอนให้ผู้คนต่างๆ รู้จักกับภาษารูนส์นี่ ภาษานี่จึงกลายเป็นอักษรที่พลังอำนาจ จนกลายเป็นอักขระปรีชาญาณที่เก่าแก่ที่สุดอันหนึ่งของโลก
ถึงแม้ว่าตอนนี้ เทพโอดินจะมีพลังแห่งปัญญา และญาณที่พิเศษมากกว่าที่เทพองค์ใดจะจินตนการได้ แต่ท่านกับไม่มีความสุขเหมือนที่ผ่านมาแต่อย่างใด เพราะในพลังนั้น ได้ทำให้ท่านมองเห็นอนาคตที่จะเกิดขึ้น เป็นสงครามครั้งสุดท้ายที่มีชื่อว่า แรกน่า หรือ แรกนาร็อค สงครามระหว่างเทพและปีศาจ ที่นำพาความสูญเสียมาให้ ในภาพอนาคตนี่ ทำให้เทพโอดินเห็นถึงความตายของเทพองค์อื่นๆมากมาย หนึ่งในนั้น มีบุตรและภรรยาของท่านรวมอยู่ด้วย ภาพเหล่านี่ สร้างความรู้สึกเป็นกังวลให้แก่เทพโอดินเป็นอย่างมาก จนขนาดทำให้ท่านไม่สามารถดื่มกิน และมีความสุขได้อย่างที่เคยเป็น
แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก ในที่สุด ท่านก็ได้คิดค้นและหาวิธีรับมือกับสิ่ที่จะเกิดขึ้นนี่ได้ ด้วยการที่ท่านใช้พลังที่ท่านมี สร้าง “วัลฮัลลา (Valhalla)” ขึ้นมา ดินแดนใหม่ที่ท่านสร้างนี่ จะกลายเป็นสถานที่ไว้รวมกันของนักรบทุกคน โดยนักรบเหล่านี่ ท่านจะให้เป็นหน้าที่ของ วัลคีรี่ นักรบหญิงศักสิทธิ์เป็นผู้คัดเลือก นำวิญญาณนักรบเหล่านี้มาเลี้ยงดู และให้พวกเขามาอยู่ยังดินแดนวัลฮัลลา เพื่อฝึกฝนตนเองสำหรับศึกสุดท้ายที่จะมาถึง
นับแต่นั้น นักรบมากมายที่เสียชีวิตในสนามรบ จะถูกเหล่าวัลคีรี่ นำพาดวงวิญญาณมาสู่วัลฮัลลา ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของนักรบผู้วายชนม์ ณ ดินแดนแห่งนี้พวกเขาจะได้รับการต้อนรับ มีอาหารการกินที่เพียบพร้อม และเหล้าที่ให้ดื่มได้ไม่มีวันหมด รวมถึงการฝึกซ้อมตนเองสำหรับศึกสุดท้ายอย่างสมเกียรติ จึงไม่แปลกที่นักรบสมัยก่อน จะยินดีปรีดา และพร้อมที่จะสู้จนตัวตายอย่างสมศักดิ์ศรีในสนามรบ เพราะพวกเขาต่างเชื่อว่า เมื่อพวกเขาตายอย่างสมเกียรติวิญญาณของพวกเขาจะได้ไปยังวัลฮัลลา ดินแดนสวรรค์ของเหล่านักรบ
ว่ากันว่าในบรรดานักรบที่ได้รับการคัดเลือกมายังวัลฮัลลา ที่เป็นนักรบที่เทพโอดินโปรดปรานมากที่สุดคือ นักรบเบอร์เซิร์ก(berserk) นับรบบนเกาะแห่งหนึ่งที่มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ พวกเขาจะส่วมใส่เสื้อคลุมด้วยหนังหมีแทนเสื้อเกาะ เพราะมีความเชื่อว่าเทพโอดินจะปกป้องพวกเขาจากอันตรายแทนเกราะนั่นเอง นักรบเหล่านี้จึงมีพลังความมุ่งมั่นและไม่เกรงกลัวต่อความตายในการต่อสู้ พวกเขายึดถือกฎและเกีรติติยศในการต่อสู้ และพร้อมที่จะฆ่าศัตรูไม่ว่าจะเป็นหน้าไหน หรือ แม้แต่ญาติมิตรเพื่อนฝูงตนเองก็ตาม ถ้าพวกเขาเหล่านั้นละเมิดกฎหรือเป็นศัตรูต่อทั้งพวกตนเอง และเทพโอดิน จึงไม่แปลกที่เทพโอดินจะชื่นชอบและรักพวกเขามากที่สุด พวกเขาส่วนมากจึงมักจะได้รับการคัดเลือกให้มายังวัลฮัลลาแห่งนี้นั่นเอง
เทพโอดิน มีบุตรและธิดาที่เป็นเทพ ที่เพียบพร้อมด้วยสติปัญญาและความสามารถอยู่หลายพระองค์ อีกทั้งยังมีมเหสีอีกหลายพระองค์ไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นเทพเท่านั้น แต่ยังรวมถึงยักษ์เองก็มี ตามแบบฉบับค่านิยมในสมัยนั้น แต่ถึงจะมีมเหสีหลายพระองค์ แต่มเหสีที่เทพโอดินทรงรักมากที่สุดคือ มเหสีองค์ที่ 2 ที่นามว่า ฟริกก้า(Frigga) ที่มักจะปรากฎตัวอยู่ข้างเทพโอดินอยู่เสมอ ตามงานภาพวาดต่างๆ และคำจารึกในตำราโบราณ ที่กล่าวว่า เทพีฟริกก้า เป็นชายาองค์เดียวที่สามารถนั่งข้างบัลลังเคียงคู่กับเทพโอดินได้เท่านั้น
บุตรของเทพโอดินมีอยู่ด้วยกันหลายพระองค์ แต่ที่มีชื่อเสียงถูกกล่าวถึงมากที่สุดจะมีดั่งนี้
เทพบัลเดอร์บุตรจากเทพฟริก้า ผู้เป็นตัวแทนแห่งความสุขสม ความดีงาม ปัญญา และ ความงาม
เทพสายฟ้าธอร์ บุตรจากยอร์ธยักษิณีผู้ยิ่งใหญ่
เทพแห่งความสงัดผู้ฆ่าเฟนริส วีดาร์ บุตรของไกรเดอร์ยักษิณี
เทพวาลี ผู้ซึ่งล้างแค้นให้กับบัลเดอร์ บุตรของนางรินดาธิดาแห่งกษัตริย์ เป็นต้น
ถึงแม้ว่าเทพโอดินจะเตรียมการ และวางแผนรับมือกับศึกสุดท้ายแรกนาร็อค มาอย่างดีมากแค่ไหน พระองค์ก็ไม่สามารถหลีกหนีความตายของพระองค์ได้เลย เมื่อครั้นสงครามเกิดขึ้น เทพโอดินได้ต่อสู้อย่างห้าวหาญเป็นเวลานานในสนามรบ โดยที่ท่านไม่ถอย หรือ พักเหนื่อยแต่อย่างใด กับมุ่งมั่นที่จะจบสงครามให้เร็วมากที่สุด เพื่อลดการสูญเสียที่เกิดขึ้น จะด้วยความเหนื่อย หรือ ความประมาทไม่ทราบแน่ชัด เทพโอดินก็ได้พลาดท่า ถูกหมาป่ายักษ์เฟนริสเข้ากัดและสังหารพระองค์ลงในที่สุด เทพโอดินรู้ดีถึงอนาคตและชะตาชีวิตของตนที่จะต้องตายในสงครามนี้ แต่พระองค์ก็ไม่เคยเกรงกลัว หรือ หลบหนีแต่อย่างใด พระองค์กับมุ่งมั้นที่จะเข้าร่วมในศึกครั้งนี้ เพราะความตายอย่างสมเกียรตนี่ ถือเป็นสิ่งที่คู่ควรกับชีวิตนักรบของพระองค์
เป็นอันปิดตำนานที่ยิ่งใหญ่ ของมหาเทพที่เป็นทั้งนักรบ และปราชแห่งปัญญา ที่ใช้ชีวิตอยู่และตายอย่างสมเกียรติ จนมาถึงปัจจุบัน ตำนานและเรื่องเล่าของเทพโอดินก็ยังมีการกล่าวถึงเรื่อยมา ทั้งในบทประพันธ์ กวี บทละคร ภาพยนต์ อนิเมะ หรือแม้แต่เกม ก็ต่างหยิบยกนำเอาตำนานของมหาเทพชาวนอร์สองค์นี้ นำมาใช้ ส่วนหนึ่งเพื่อสร้างความบันเทิงให้แก่ผู้รับชม และอีกส่วนก็เป็นการบอกกล่าวถึงตำนานของเทพโอดิน ให้ผู้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้ประวัติ รวมถึงความเป็นมาต่างของเทพโอดินสืบไป…
ในส่วนอนิเมะ เรื่องมหาศึกคนชนเทพ
ในส่วนของอนิเมะของมหาศึกคนชนเทพ ก็ได้หยิบยกนำเอาประวัติของเทพโอดินมาใช้ ในการดำเนินเนื้อเรื่อง โดยอิงจากตำนานของเทพชาวนอร์ส นำมาตีความใหม่ให้เป็นหนึ่งในตัวละครของมังงะ โดยเทพโอดิน ในมหาศึกคนชนเทพ ปรากฎตัวออกมาในตอนแรก เป็นช่วงที่เทพซูสจัดการประชุมเหล่าทวยเทพ เพื่อตัดสินชะตากรรมของมนุษย์ เทพโอดินก็อยู่ในการประชุมครั้งนี้ด้วย โดยรูปร่างของโอดิน ปรากฎออกมาเป็นชายวัยชราที่มีบุคคลิกเงียบขรึม สวมใส่เสื้ออาภรณ์เป็นสีดำทั้งหมด ดวงตาข้างหนึ่งใส่ที่คาดตา มีอีกาสีขาวและดำ เกาะอยู่บนไหล่ซ้ายขวา คอยทำหน้าที่เป็นปากคอยพูดแทนเทพโอดิน จากลักษณะภายนอกดูได้ว่าเทพโอดิน แลดูลึกลับเป็นอย่างมาก เพราะความเงียบที่ท่านมี ทำให้ไม่สามารถที่จะคาดเดา หรือ รับรู้ได้เลยวาท่านรู้สึกเช่นไร จะมีเพียงอีกาทั้งสองที่จะคอยเป็นกระบอกเสียงพูดแทนท่าน
เมื่อกฎแรคนาร็อกถูกประกาศใช้โดยเทพซูส เทพโอดินเองก็เป็นหนึ่งในตัวแทนของฝั่งเทพ ที่จะต้องลงต่อสู้ในศึกครั้งนี้ เพราะท่านเป็นเทพที่เปรียบกับผู้ปกครองที่สูงที่สุดของเทพชาวนอร์ส พลังอำนาจที่ท่านมีแทบจะไม่แตกต่างจากเทพซูสมากเท่าไหร่ เทพโอดินจึงเป็นตัวเลือกอันดับแรกๆ ที่เทพซูสตัดสินใจให้ลงต่อสู้ในครั้งนี้ ด้วยพลังที่เทพโอดินมี อีกทั้งอาวุธอย่างหอกกุงเนีย ที่ถือว่าเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก เพียงแค่เขวี้ยงหอกออกไป ไม่ว่าสิ่งใดจะอยู่ตรงหน้าทิศทางหอก ก็จะถูกบดขยี้ทั้งหมด เทพซูสจึงมั่นใจในฝีมือของเทพโอดิน ว่าศึกครั้งนี้ เทพโอดินจะไม่ทำให้เหล่าเทพต้องผิดหวังอย่างแน่นอน…
(ข้อมูลข้างต้นรวมถึงพลังของ เทพโอดิน อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงจากที่กล่าวมาก็ได้ เพราะข้อมูลพลังของเขายังไม่เปิดเผย รวมถึงคู่ต่อสู้ของเขาก็ด้วย แต่ดูจากลักษณะและประวัติความเป็นมา ที่เขาขึ้นชื่อว่าเป็นเทพนักรบ และ เทพแห่งปัญญา อีกทั้งยังมีพลังในการล่วงรู้อนาคต ผู้เขียนก็ขอคาดการณ์ไว้ว่า คู่ต่อสู้ที่เทพโอดินจะต้องต่อสู้ด้วย น่าจะเป็น มิเชล นอสตราดามุส นักทำนายผู้ยิ่งใหญ่จากฝรั่งเศส ที่สามารถมองและอ่านความเป็นไปของกระแสเวลาแห่งอนาคตได้ และพลังที่นอสตราดามุสมีนอกจากนี้ยังถือว่าเป็นความลับอยู่ ก็ยิ่งทำให้ทั้งคู่ช่างมีความคล้ายคลึงกัน การต่อสู้ของทั้งคู่จะต้องดุเดือดเป็นอย่างแน่!! หรือไม่เทพโอดิน ก็อาจจะได้สู้กับกษัตริย์ลีโอไนดัส แห่งสปาตัน เพราะกษัตริย์ลีโอไนดัสก็เป็นยอดนักรบที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ตามอุดมคติของเทพโอดิน ก็น่าจะมีโอกาสให้ทั้งคู่ได้สู้กัน ว่าหอกกุงเนียของเทพโอดิน กับโล่ของชาวสปาตัน ว่าสิ่งใดจะสามารถยืนหยัดอยู่รอดในศึกครั้งนี้!! แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คู่ต่อสู้เกิดจากการคาดคะเนของผู้เขียนเอง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยนะครับ และถ้าผิดพลาดไปประการใดต้องขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วย ขอบคุณครับ..)
มหาศึกคนชนเทพ โอดิน (Record of Ragnarok)
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Keywordsfun และ Foong-Trending